กุมารี ในภาษาสันสกฤตแปลว่า เจ้าหญิง ส่วนในภาษาเนปาลแปลว่า บริสุทธิ์ เมื่อนำมารวมกันจึงเป็น…เทพเจ้าเด็กหญิงที่ยังบริสุทธิ์…. ซึ่งชาวพุทธและชาวฮินดูในเนปาลเชื่อว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า กุมารีจึงถูกนับถือและกราบไหว้อย่างกว้างขวางตั้งแต่คนทั่วไปตลอดจนถึงกษัตริย์ เด็กหญิงบางคนที่ได้รับเลือกให้เป็นกุมารีแม้จะมีอายุเพียง 5 ขวบ แต่เมื่อถูกแต่งตั้งให้เป็นกุมารีแล้วนั้น เด็กน้อยถือว่าอยู่สูงกว่าคนทั่วไปแม้กระทั่งบุพการีของตัวเอง จึงไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่มีชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่รวมถึงสมาชิกครอบครัวทุกคนต้องปฏิบัติต่อเธอในวิถีที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
กุมารีจะสวมเครื่องแต่งกายสีแดงทุกวัน เนื่องจากชาวฮินดูเชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งพระเจ้าและอำนาจ หากเป็นวันที่มีคนมากราบไหว้และขอพร เธอจะถูกแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับเต็มยศทั้งสร้อยคอ กำไลเงิน รวมทั้งกลางหน้าผากจะมีสัญลักษณ์ที่เชื่อว่าเป็นดวงตาดวงที่ 3 แห่งพลังและอำนาจ
ทั้งนี้ ผู้ที่จะรับหน้าที่กุมารีได้นั้น จะต้องเป็นเด็กผู้หญิงก่อนวัยมีประจำเดือน เพราะถือว่าเป็นวัยแห่งความบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีประจำเดือนแล้ว เธอผู้นั้น..จะหมดสถานะการเป็นกุมารีทันที ในเนปาลจึงต้องเฟ้นหากุมารีองค์ใหม่ทุกๆ 10-13 ปี โดยหนึ่งเขตจะมีเด็กหญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือก การเฟ้นหาจึงเป็นไปอย่างจริงจังและปราณีตรอบคอบที่สุด บรรดาเด็กผู้หญิงจะถูกพิจารณาตั้งแต่รูปร่างหน้าตาพฤติกรรม ศาสนา ชาติกำเนิด ตลอดจนดวงชะตาของชีวิต ซึ่งจะต้องเกิดมาในครอบครัวศาสนาพุทธที่มีต้นตระกูลคือศากยวงศ์ ต้นตระกูลเดียวกับพระพุทธเจ้า หรือต้นตระกูลพัชราจารยะของชนเผ่าเนวาร์ ชนเผ่าท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในหุบเขากาฎมัณฑุมาหลายร้อยปี
……..พวกเธอจะต้องมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับข้อกำหนด 32 ประการของพระโพธิสัตว์ อกผึ่งผายดังราชสีห์ มีดวงตาดุจโค หรือร่างกายสง่างามดังต้นโพธิ์ คุณสมบัติเหล่านี้จะถูกพิจารณาโดยบรรดาพระและนักบวชจากศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายในและไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระเท่านั้นที่จะเฟ้นหาเด็กหญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด
และเมื่อเด็กหญิงคนไหนก็ตามที่ถูกเลือกให้เป็นกุมารี พวกเธอมีกฎบางประการที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อาทิถูกฝึกไม่ให้พูดกับบุคคลอื่น ยกเว้นคนในครอบครัวและห้ามออกไปข้างนอกที่พักอาศัย ยกเว้นมีเทศกาลประจำปีที่ต้องถูกแบกหามให้คนภายนอกได้ชื่นชม หรือขอพร มีหน้าที่ต้องทำคือรับแขกที่มาสักการะ กราบไหว้ ด้วยท่าทีที่สุขุมเหมือนผู้ใหญ่ พร้อมทั้งเจิมหัวให้พรตามความเชื่อ โดยกุมารีจะมีสีหน้า 3 อย่างคือ สีหน้าโกรธ สีหน้าจริงจัง และสีหน้ายิ้ม บางคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้สามารถทายทักอนาคตได้
…ในอดีตกุมารีจะไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าที่อยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป แต่สังคมโลกที่เปลี่ยนไปและความจริงที่ว่าพวกเธอต้องกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนปกติในสักวัน ทำให้กฎระเบียบและพิธีปฏิบัติที่ยึดถือมามากกว่าร้อยปีต้องปรับตัว ครอบครัวใดก็ตามที่ลูกสาวถูกเลือกและแต่งตั้งให้เป็นกุมารีนับว่าเป็นความภาคภูมิใจ เพราะตามความเชื่อและสภาพสังคมของเนปาลแล้ว ทั้งครอบครัวจะอยู่ในสถานะที่น่าเคารพนับถือ
………หากมองอีกนัยหนึ่งกุมารีเปรียบเสมือนการถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยถูกห้ามออกไปข้างนอก ห้ามพูดคุยกับผู้คน ตลอดจนห้ามไปโรงเรียน และห้ามเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน จนเกิดคำถามว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่ ต่อมาราชวงศ์เนปาลถูกโค่นในห้วงปี 2551 และเกิดบรรยากาศการเมืองใหม่ๆในประเทศ รวมถึงสิทธิของกุมารีที่มีการยื่นเรื่องให้ศาลสูงสุดพิจารณาสิทธิและชีวิตที่พวกเธอควรได้รับในฐานะเด็ก ซึ่งคำร้องเรียนได้รับคำตัดสิน โดยศาลสูงสุดประกาศว่ากฎข้อบังคับของกุมารีนั้นล้าหลัง พวกเธอจำเป็นต้องได้รับการศึกษา และสิทธิต่างๆ ดังเช่นเด็กคนอื่น รวมถึงได้รับสิทธิเท่าเทียมกับเด็กอื่นๆ
………แต่คำสั่งของศาลสูงสุดยังคงสถานะ..เทพเจ้าของพวกเธอไว้ เพราะความผูกโยงระหว่างกุมารีกับวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานและมีความแข็งแกร่งผ่านมาหลายร้อยปี………
เมื่อสถานะเปลี่ยนไปและพวกเธอต้องปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมต่อไปตามยุคสมัย สิ่งที่กุมารีล้วนต้องเจออุปสรรคตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากประตูวัดคือ การเข้าสังคมซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้าสู่สังคม เสมือนโลกสองใบที่อยู่คู่ขนานกันในสังคม โลกใบหนึ่งคือประชาธิปไตยและความทันสมัยที่กำลังค่อยๆ งอกเงยตามกระแสโลก …ส่วนโลกอีกใบคือความเชื่อและความศรัทธาที่กำลังถูกตั้งคำถาม แต่ก็ผูกพันกับผู้คนมานานจนยากที่จะลางเลือนหรือคงต้องใช้เวลาอีกระยะ