ในยุคสมัยนี้ …ต่อให้คุณเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวย นักการเมืองที่มีอำนาจล้นเหลือ หรืออาจเป็นนักศึกษาที่ร่ำเรียนอย่างเคร่งเครียด พวกคุณและพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องการการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยล้า และไม่มีอะไรที่จะทำได้ดีมากไปกว่า “การเดินเข้าป่า” เพื่อไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ
สำหรับบางคน การเดินเข้าป่า..ฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ปัจจุบัน เรากำลังเห็นแนวโน้มที่คนสนใจกิจกรรมนี้มากขึ้น เพราะในทุกวันหยุดยาวจะมีรถจำนวนมากหลั่งไหลออกจากเมืองหลวง เพื่อมุ่งไปสู่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ในหลายเมืองสำคัญทั่วโลกก็ให้มีแนวคิดที่จะพัฒนาเมืองให้เป็น “เมืองสีเขียว” (City in the garden) เพราะทุกครั้งที่มนุษย์กลับไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ในบรรยากาศที่โอบล้อมประสาทสัมผัสในภาวะสบาย มีเสียงจากน้ำตกที่ทำให้สมองอยู่ในช่วงความถี่ 7-14 รอบต่อวินาที แสงสีน้ำเงินที่เกิดจากการสะท้อนเข้าตาทำให้รู้สึกสดใสสบายตา และอุณหภูมิในช่วง 22-29 องศาเซลเซียส พอเหมาะกับความชื้นสัมพัทธ์ระหว่าง 20-75% ….สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้มนุษย์รู้สึกสบาย สงบ ปลอดภัย พร้อมที่จะพักผ่อนให้ร่างกายและจิตใจได้ปล่อยวางจากความวุ่นวายจากสังคมเมือง
แม้มนุษย์จะเริ่มใช้ชีวิตห่างไกลจากธรรมชาติจากป่าไม้เข้าสู่ป่าคอนกรีตในเมืองอันหนาแน่น เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่างๆ แต่อันที่จริง….การแยกทางจากธรรมชาตินี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียง 500 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคสมัยใหม่ที่เริ่มมีการใช้วิทยาศาสตร์ในการทำความเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.1 ของวิวัฒนาการของการเป็นมนุษย์ที่มีมายาวนานกว่า 500,000 ปี ดังนั้น การเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหินห่างหรือตัดขาดจากการดำรงอยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้นยังคงเป็นกระบวนการที่ดำเนินอยู่เรื่อย ๆ กระบวนการที่ยังไม่เสร็จสิ้นนี้ ทำให้มนุษย์เกิดความโหยหาความสบายใจและพลังบวกจากธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก!!…ที่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะป่า ภูเขา ทะเล ทุ่งหญ้า หรือแม้แต่ทะเลทราย ….เป็นสถานที่ที่มนุษย์เลือกที่จะไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูจิตใจอยู่เสมอ
ความโหยหาธรรมชาติเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตอนนี้มีคำว่า “Shinrin Yoku” หรือ “การอาบป่า” ของญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้น เพราะเป็นกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติในรูปแบบของการทำ “ธรรมชาติบำบัด” ซึ่งแตกต่างจากการเดินป่าที่มีเป้าหมายในการไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ใช้พละกำลัง ความเหน็ดเหนื่อยและความท้าทาย …….ส่วนการอาบป่านั้นไม่ได้เน้นที่ระยะทางหรือความลำบากในการเดินทาง แต่ให้ความสำคัญกับการใช้เวลาเพื่อเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายทำให้สุขภาพดี ได้รับฟังเสียงจากธรรมชาติ มองเห็นแสงสีที่พอเหมาะกับการมองเห็นของสายตา ลดความเครียด ระบายความซึมเศร้า ทำให้สมองปลอดโปร่งและเกิดความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดสู่สิ่งต่างๆ ได้ และถือเป็นการระบายความเครียดที่ใช้ต้นทุนต่ำ เพียงแค่เดินเข้าป่าและดื่มด่ำกับธรรมชาติเพียงเท่านั้น
สำหรับประเทศไทยที่อยู่ในเขตร้อนชื้นมีพืชพรรณหลากหลายที่เติบโตได้ง่าย หากปล่อยพื้นที่รกร้างไว้ ป่าก็จะเกิดขึ้นมาได้เอง และยังมีความแตกต่างของป่าหลายรูปแบบตามภูมิศาสตร์ มีเรื่องราวมากมายกับวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอยู่กับป่า มีแหล่งอุทยานหลายแห่งที่เป็นเส้นทางเดินธรรมชาติ (Trekking) ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่มักจะอยู่ในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะพิชิตเส้นทางเหล่านี้
ถ้าเราได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติ โดยเน้นการท่องเที่ยวแบบภูมิทัศน์บำบัด (Therapeutic landscape) มาปรับใช้กับการเที่ยวป่าและธรรมชาติของประเทศไทย ก็มีโอกาสที่การพักผ่อนในรูปแบบนี้จะได้รับความนิยมมากขึ้น การท่องเที่ยวป่าก็จะเปิดกว้างสำหรับคนทุกวัยมากขึ้น รวมทั้งอาจกลายเป็นกิจกรรมครอบครัวที่รองรับคนทุกเพศทุกวัย เมื่อกลุ่มคนที่มากขึ้นเห็นความสำคัญของป่า ก็จะทำให้ป่าได้รับการปกป้องจากการถากถางบุกรุกไปด้วย รวมทั้งอาจทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายในการคืนพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ที่กำหนดไว้ให้มีพื้นที่ป่าไม่ต่ำกว่า 40% ….ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน