การแบ่งแยกดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในปัจจุบันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลพวงของการแข่งขันอิทธิพล อำนาจและแย่งชิงผลประโยชน์เป็นระยะๆมายาวนานของจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา ตลอดจนผลจากความแตกต่างทางความคิดของผู้นำทางการเมือง………
ทั้งนี้…..เมื่อปี ค.ศ. 1864 พระเจ้าโกจง แห่งราชวงศ์โซซอน ที่ครองราชย์ด้วยวัยเพียง 11 พรรษา ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์อย่างมาก แม้ว่าจะมีพระราชินีมินจายองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนหลังบัลลังก์ แต่ก็ทำให้ราชสำนักขณะนั้นต้องเผชิญกับความท้าทายจาก 3 มหาอำนาจ คือ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย โดยความสัมพันธ์ของเกาหลีกับจีนอยู่ในแบบบรรณาการ ที่รับปากกันว่าเมื่อเกาหลีเกิดความวุ่นวายจีนต้องเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจเนื่องจากญี่ปุ่นต้องการเข้ามามีอิทธิพลในเกาหลี สงครามระหว่างจีนและญี่ปุ่นจึงเริ่มขึ้นช่วง ค.ศ.1894-1895 ซึ่งตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ ทำให้เกาหลีหลุดลอยไปจากอำนาจของจีน แต่สงครามก็ยังไม่จบเพราะในปี ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นรุกหนักมากจนสามารถเอาชนะกองทัพรัสเซียได้ ทำให้ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลีมาเป็นอาณานิคมได้อย่างเป็นทางการ จากนั้นได้ปลดพระเจ้าโกจงออกจากราชบัลลังก์ และสถาปนาพระเจ้าซุกจงซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกจงเป็นจักรพรรดิเกาหลี แต่เพียงแค่ในนามเพราะว่าข้าหลวงใหญ่ของญี่ปุ่นต่างหากที่เป็นผู้ครองเกาหลี
แต่แล้วในปี ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม เกาหลีจึงได้รับเอกราชตามคำประกาศของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เกาหลีถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 เขตการยึดครอง คือเขตการยึดครองของโซเวียตและเขตยึดครองของสหรัฐฯ โดยมีเส้นขนานองศาที่ 38 หรือพันมุนจองเป็นตัวแบ่งเขต…จึงกลายเป็น 2 ประเทศเกาหลีที่เรารู้จักคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ซึ่งปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ซึ่งปกครองแบบประชาธิปไตยและได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
………..และด้วยความแตกต่างด้านการเมืองและอุดมการณ์ ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จึงกลายเป็นสงครามเกาหลี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950 กองทัพเกาหลีเหนือเคลื่อนผ่านเส้นขนานที่ 38 มายังเกาหลีใต้ โดยเกาหลีเหนืออ้างว่ากองทัพเกาหลีใต้ภายใต้การนำของ ซิงมัน รี ได้บุกรุกช้ามชายแดนมาก่อน จากนั้นซิงมัน รี ถูกจับกุมตัวและประหารชีวิต ด้วยความได้เปรียบในด้านยุทโธปกรณ์และกองกำลังที่เหนือชั้นกว่า เกาหลีเหนือจึงเข้าจู่โจมและจากนั้นยึดกรุงโซลของเกาหลีใต้ได้โดยหวังว่ารัฐบาลของซิงมัน รี จะยอมแพ้และทำการรวมชาติได้ แต่ความฝันก็แตกสลาย เมื่อสหรัฐอเมริกาและชาติมหาอำนาจอื่นๆ ได้เข้าแทรกแซงและขยายสงครามกลางเมือง สู่ความขัดแย้งนานาชาติ
กระทั่งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1953 สงครามเกาหลียุติลงหลังการลงนามในข้อตกลงหยุดยิง มีเชลยสงครามเกาหลีใต้ราว 50,000 คนถูกควบคุมตัวอยู่ในเกาหลีเหนือ บางคนถูกสังหาร บางคนถูกบังคับใช้แรงงาน ต่างจากเชลยเกาหลีเหนือ 25,000 คนที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อี ซึงมัน ได้ปล่อยตัวกลับไปเพียงฝ่ายเดียว เพื่อทำให้ข้อตกลงล้มเหลวเนื่องจาก อี ซึงมัน ต้องการให้กองกำลังสหประชาชาติช่วยให้ได้รวมชาติและอยู่ภายใต้เกาหลีใต้ให้สำเร็จ แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้การส่งตัวเชลยเกาหลีใต้กลับประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น แม้สงครามจะสิ้นสุดลงด้วยสัญญาหยุดยิงแต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกด้านสันติภาพร่วมกันได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับสถานะความเป็นรัฐของกันและกัน
ต่อมาจนปี 2000 ก็ยังมีเหตุกระทบกระทั่งกันอยู่ตลอด ควบคู่ไปกับความพยายามของมหาอำนาจและชาติต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาและหาข้อตกลงร่วมกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ….ความพยายามเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งเมื่อ มุน แจอิน อดีตผู้นำเกาหลีใต้และคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ร่วมกันลงนามข้อตกลงในการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ 3 ในกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือเมื่อปี 2018 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงจะบรรลุการปลดอาวุธนิวเคลียร์ โดย มุน แจอิน เปิดเผยว่ายุคแห่งการไร้สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 2 เกาหลีได้ตัดสินใจที่จะยุติสงคราม รวมถึงภัยคุกคามทั้งหมดบนคาบสมุทรเกาหลี และทางเกาหลีเหนือตกลงที่จะสั่งปิดเขตการทดสอบขีปนาวุธอย่างถาวร ทางด้านคิม จองอึน อยากให้การประชุมครั้งนี้เป็นการก้าวเข้าสู่อนาคตของสันติภาพทางการทหาร รวมทั้งให้สัญญาว่าจะเดินทางไปเยือนกรุงโซลของเกาหลีใต้ด้วย ทั้งสองฝ่ายยังเห็นตรงกันว่าควรมีการเชื่อมทางรถไฟของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกันและจะอนุญาตให้ครอบครัวที่พลัดพรากจากกันเพราะสงครามได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง กับทั้งยังแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2032 เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ 2 เกาหลีให้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดีความสัมพันธ์ของทั้ง 2 เกาหลีก็พังทลายลงอีกครั้ง หลังจาก มุน แจอิน หมดอำนาจจากการเป็นประธานาธิบดี และยุน ซอก ยอล ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำโสมขาว และยังย้ำว่าจะนั่งโต๊ะเจรจาก็ต่อเมื่อเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความพยายามในการยุติการพัฒนาขีปนาวุธ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นไปทางเดียวกันว่า คิม จองอึน ไม่มีแนวคิดนั้นแน่นอน และคิม จองอึน เลือกที่จะแสดงศักยภาพคลังแสงผ่านการเดินขบวนพาเหรดโชว์ยุทโธปกรณ์ของกองทัพไปตามท้องถนน พร้อมกับแต่งชุดเต็มยศขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่มีคำเตือนส่วนหนึ่งฝากไปถึงประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านว่า “ความพยายามใดๆ ที่เป็นภัยต่อเกาหลีเหนือ จะถูกทำลายจนสิ้นซาก”…………
…….แม้ว่าจะมีความพยายามจับมือสงบศึกหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าความบาดหมางของศึกแดนกิมจิจะจบลงแบบไหน ทั้งที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายใช้ภาษา วัฒนธรรมการแต่งกายเดียวกัน ต่างกันแต่รูปแบบการปกครองและแนวคิดทางการเมืองที่อยู่กันคนละขั้วเท่านั้น