หลังสงครามเกาหลีในปี 2493-2496 ทั้งสองประเทศได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งที่มีแนวคิดแตกต่างกัน เกาหลีเหนือเป็นรัฐสังคมนิยมภายใต้การนำของพรรคแรงงานเกาหลี ขณะที่เกาหลีใต้เป็นรัฐประชาธิปไตยที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การสร้างกำแพงความแตกแยกกันระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
9 ตุลาคม 2567 เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ว่า จะตัดและปิดกั้นพรมแดนทางใต้กับเกาหลีใต้ ด้วยการตัดการเชื่อมต่อทางถนนและทางรถไฟทั้งหมดระหว่างสองเกาหลี เพื่อเป็นมาตรการป้องกันตนเอง เพื่อยับยั้งสงคราม และปกป้องความมั่นคงของชาติ แต่ในมุมของนักวิเคราะห์เชื่อว่า เป็นการสานต่อกระบวนการจากสถานการณ์ที่ขัดแย้งระหว่างกันในปัจจุบัน และอาจนำไปสู่สภาวะที่เกาหลีเหนือจะยกเลิกข้อตกลงสำคัญระหว่างสองเกาหลีที่ลงนามในปี 2534 เพื่อแสดงออกถึงของความต้องการของผู้นำคิม จองอึนในการกำหนดเกาหลีใต้ให้เป็นรัฐศัตรูอย่างเป็นทางการ กองทัพของเกาหลีเหนือยังวางแผนสำคัญในการตัดเส้นทางทางถนนและรถไฟที่เชื่อมต่อกับเกาหลีใต้ และเสริมกำลังในพื้นที่อย่างแข็งแกร่ง
ก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ตรวจพบสัญญาณบางอย่าง ที่ระบุว่าเกาหลีเหนือกำลังทำลายบางส่วนของเส้นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างสองเกาหลี โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้เวลาหลายเดือนในการวางทุ่นระเบิดและตั้งสิ่งกีดขวาง เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าว ให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างตามแนวชายแดน ซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตของทหารเป็นจำนวนมาก
เกาหลีเหนือมองว่าความเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็น “มาตรการป้องกันตนเอง” เช่น เพื่อตอบโต้การซ้อมรบของเกาหลีใต้ ซึ่งการซ้อมรบที่จัดขึ้นร่วมกับสหรัฐฯ เป็นการเตรียมการสำหรับการโจมตีจริง ทำให้เกิดความตึงเครียดและความรู้สึกไม่ปลอดภัยในหมู่ผู้นำเกาหลีเหนือ การที่สหรัฐฯ สนับสนุนยุทโธปกรณ์ไปยังภูมิภาคถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกาหลีเหนือรู้สึกถูกคุกคาม ทำให้เกาหลีเหนือจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพทางทหารเพื่อปกป้องประเทศ นอกจากนี้ การป้องกันตัวเองช่วยให้รัฐบาลเกาหลีเหนือสร้างภาพลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออธิปไตยและความมั่นคง ซึ่งสามารถกระตุ้นความเป็นหนึ่งเดียวในประเทศ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่จะได้ประธานาธิบดีคนใหม่ และเข้าบริหารประเทศในมกราคม 2568 อาจมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์และนโยบายของเกาหลีเหนือในการจัดการกับเกาหลีใต้และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การปิดพรมแดนอย่างถาวรของเกาหลีเหนือ ส่งผลกระทบในหลายด้าน และอาจทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลียิ่งซับซ้อนและยากที่จะหาทางออกในอนาคต นอกจากนี้อาจมีผลกระทบต่อการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน รวมถึงการลดโอกาสในการเจรจา หรือ การพัฒนาความสัมพันธ์