นรม.อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย และ นรม.ลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ ได้ประกาศข้อตกลงพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (Johor-Singapore Special Economic Zone : JS-SEZ ) ( ลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU เมื่อ ม.ค.67) ระหว่างการประชุมผู้นำมาเลเซีย-สิงคโปร์ ครั้งที่ 11 (11th Malaysia-Singapore Leaders’ Retreat) เมื่อ 7 ม.ค.68 เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีเป้าหมายดำเนินโครงการกว่า 50 โครงการ ซึ่งจะสามารถสร้างงานสำหรับแรงงานทักษะสูง ประมาณ 20,000 ตำแหน่ง ภายใน 5 ปี ข้างหน้า
เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ มีเนื้อที่ประมาณ 2 ล้านไร่ ครอบคลุม 6 เมืองทางตอนใต้ของรัฐยะโฮร์ (ใหญ่กว่าสิงคโปร์ 4 เท่า) แบ่งเขตพัฒนาออกเป็นด้านต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริการทางธุรกิจ เศรษฐกิจดิจิทัล การศึกษา พลังงาน อาหาร สุขภาพ โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว รวมถึงภาคการเงิน ที่ใช้พื้นที่ในโครงการ Forest city ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีของมาเลเซียกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากจีน
รัฐบาลมาเลเซียพัฒนารัฐยะโฮร์ และสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะภูมิศาสตร์ที่ติดกับสิงคโปร์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของสิงคโปร์ที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ พลังงาน และแรงงาน ขณะที่มาเลเซียจะได้ประโยชน์จากการค้าการลงทุน และลดปัญหาสูญเสียแรงงานมาเลเซียไปทำงานในสิงคโปร์ (เนื่องจากค่าตอบแทนสูงกว่า) อย่างไรก็ดี มาเลเซียยังขาดทักษะของแรงงานเพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง ซึ่งต้องเร่งฝึกอบรมแรงงานให้มีความสามารถเหมาะกับความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม
มาตรการจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา การยกเว้นภาษีเงินได้ใน 5 ปีแรก วีซ่าพิเศษสำหรับนักลงทุน และแรงงานต่างชาติที่มีทักษะด้านดิจิทัล รวมถึงการจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกครบวงจร เพื่อให้บริการด้านการลงทุน และกระบวนการขออนุญาตดำเนินธุรกิจ มาเลเซียยังจะสนับสนุนเงินทุนในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ รองรับการลงทุนของภาคเอกชน ส่วนสิงคโปร์จะสนับสนุนเงินทุนเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน และกระตุ้นให้บริษัทของสิงคโปร์เข้ามาดำเนินธุรกิจในรัฐยะโฮร์มากขึ้น
มาเลเซียตั้งเป้าหมายว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้จะยกระดับรัฐยะโฮร์ให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในภาคการผลิตโลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูล (Data center) ในประเทศ และมีเป้าหมายในการบรรลุความสำเร็จเช่นเดียวกับศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลก เช่น สวนอุตสาหกรรมซูโจว เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นในจีน อุตสาหกรรมนวัตกรรมในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา และศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการผลิตและวิศวกรรมขั้นสูงเช่นเมืองสตุ๊ตการ์ทของเยอรมนี
เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ อาจเบี่ยงเบนความสนใจของนักลงทุนจากเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย เนื่องจากเป็นข้อตกลงใหม่ และมีการประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ บริษัทที่เข้าไปลงทุนน่าจะเป็นการลงทุนใหม่ของบรรษัทข้ามชาติ หรือการย้ายฐานการผลิตจากรัฐต่างๆ ของมาเลเซีย รวมทั้งบริษัทในสิงคโปร์ ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนในไทย เนื่องจากนักลงทุนสิงคโปร์ (นักลงทุนต่างชาติลงทุนในไทยเป็นลำดับที่ 2 ตั้งแต่ปี 2561) อาจพิจารณาย้ายการลงทุนไปยังเขต JS-SEZ ดังนั้น จึงควรเร่งประชาสัมพันธ์ความสำเร็จ ความคืบหน้า รวมถึงโอกาสในการเข้าไปลงทุนใน EEC ในช่วงที่เขต JS-SEZ เพิ่งเริ่มต้นดำเนินการ
ขณะเดียวกัน อาจศึกษาการจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมตามแนวชายแดน พร้อมผลักดันการเชื่อมโยงการค้า โดยใช้จุดเด่นด้านตำแหน่งที่ตั้งของไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค ระบบคมนาคมทางบก และรางที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงจีน รวมถึงยังเชื่อมต่อไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV ได้ นอกจากนี้ สามารถส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพมีส่วนร่วมในการพัฒนาดังกล่าว เช่น 1) ภาคก่อสร้าง การวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคม 2) ภาคพลังงาน เนื่องจากทั้งสองประเทศต้องจัดหาพลังงานเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพัฒนา โดยเฉพาะธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) 3) ภาคอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การจัดตั้งโรงพยาบาล ศูนย์ดูแลสุขภาพ และ 4) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และบริการ