สิงคโปร์เผชิญการหลอกลวงทางออนไลน์ เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน และเป็นปัญหาอาชญากรรมสำคัญลำดับต้นๆ ของประเทศ โดยพบว่าร้อยละ 86 ของการหลอกลวงเกี่ยวข้องกับการโอนเงินด้วยตนเอง ซึ่งเหยื่อเป็นผู้โอนหรือถอนเงินจากบัญชีของตนเอง สิงคโปร์ยังมีจำนวนคดีและมูลค่าความสูญเสียเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 จำนวนคดีเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 26,587 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.3 จากช่วงเดียวกันของปี 2566 มูลค่าความเสียหายสูงสุดกว่า 385.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.6 จาก 309.4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในครึ่งแรกของปี 2566
เพื่อลดความสูญเสียดังกล่าว และลดผลกระทบต่อประชาชน สิงคโปร์จึงออกกฎหมายต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing Scams) ฉบับใหม่ ซึ่งรัฐสภาสิงคโปร์มีมติผ่านกฎหมายดังกล่าวเมื่อ 7 ม.ค.68 โดยให้อำนาจแก่ตำรวจและ จนท. ที่เกี่ยวข้อง สามารถออกคำสั่งให้ธนาคารระงับการทำธุรกรรมของบุคคลที่เชื่อว่าจะโอนเงินให้กับผู้หลอกลวง (Restriction Orders) โดยจะระงับการโอนเงิน การใช้บริการ ATM และวงเงินเครดิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินโดยตรงหรือผ่านบัญชีม้า แต่บุคคลยังสามารถเข้าถึงเงินสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันได้ คำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ครั้งละ 30 วัน และสามารถต่ออายุได้สูงสุด 5 ครั้ง หรือยกเลิกได้ตามความจำเป็น ในขั้นต้นจะครอบคลุมธนาคารหลัก 7 แห่งของสิงคโปร์ ได้แก่ ธนาคาร DBS OCBC UOB Citibank HSBC Maybank และ Standard Chartered และอาจขยายไปยังธนาคารและแพลตฟอร์มการเงินอื่นๆ โดยกฎหมายนี้ปกป้องธนาคารให้ไม่ต้องรับผิดหาก จนท. สั่งระงับธุรกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับเหยื่อ
สิงคโปร์เป็นประเทศแรกๆ ที่ออกกฎหมายให้อำนาจตำรวจ และ จนท.ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการออก Restriction Orders ซึ่งเป็นจุดเด่น ขณะที่บางประเทศต้องขอหมายศาลก่อนสั่งธนาคารระงับการทำธุรกรรม แม้หลายภาคส่วนสนับสนุนกฎหมายนี้ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการลิดรอนและก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง เพราะ จนท.รัฐ มีอำนาจจำกัดการเข้าถึงบัญชีของประชาชนได้โดยง่าย อย่างไรก็ดี มาตรการของสิงคโปร์น่าจะเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นที่ต้องการปรับปรุงกฎหมายการป้องกันการหลอกลวง เพื่อลดการฉ้อโกงออนไลน์ที่เพิ่ม ขึ้นอย่างรวดเร็ว