เมียนมาบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ฉบับใหม่ เมื่อ 1 ม.ค.68 เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และเพิ่มขีดความสามารถด้านการสืบสวนอาชญากรรมทางไซเบอร์ แต่นัยสำคัญคือจำกัดมิให้ประชาชนและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนที่นิยมใช้โปรแกรมเครือข่ายส่วนตัวเสมือน (VPN) เข้าถึงเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกปิดกั้นในเมียนมา อาทิ Facebook Instagram และ X เพราะเป็นช่องทางหลักที่กลุ่มต่อต้านใช้เผยแพร่ข่าวสารบ่อนทำลายรัฐบาล ระดมทุนสนับสนุน และปลุกระดมมวลชน
กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ของเมียนมามีบทลงโทษที่รุนแรง เพื่อควบคุมไม่ให้พลเมืองกระทำผิดหรือมีพฤติการณ์ในเชิงต่อต้านรัฐ ที่สำคัญคือ 1) มาตรา 70 ห้ามมิให้ผู้ใดติดตั้งโปรแกรม VPN โดยไม่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงคมนาคม การสื่อสาร และเทคโนโลยี ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 1-10 ล้านจั๊ต (ประมาณ 16,485-164,845 บาท) 2) ปรับและจำคุก 2 เดือน สำหรับผู้ที่เข้าถึงหรือเผยแพร่ต่อบทความ สื่อ และข้อมูลจากเว็บไซต์ต้องห้าม และ 3) กำหนดโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 1 ปี สำหรับผู้ที่เล่นพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย ซึ่งบทลงโทษดังกล่าวครอบคลุมถึงพลเมืองเมียนมาที่อาศัยอยู่ต่างประเทศด้วย
การใช้งานโปรแกรม VPN ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงคมนาคม การสื่อสาร และเทคโนโลยี ภายใต้รัฐบาลสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไร แต่คาดว่าจะแตกต่างจากระบบ VPN ที่พัฒนาโดยบริษัทต่างชาติ เพราะจะเน้นการให้บริการในเชิงพาณิชย์และไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่รัฐบาลเมียนมาปิดกั้นได้ โดยสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา (UMFCCI) และบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายแห่ง ได้ยื่นคำขอต่อ SAC ตั้งแต่ ส.ค.67 เพื่อให้อนุมัติเป็นผู้ให้บริการ VPN แก่ประชาชนในเมียนมา โดยจะมุ่งให้บริการผู้ประกอบการขายสินค้าออนไลน์และทำธุรกิจบนแพลตฟอร์ม Facebook เป็นหลัก
รัฐบาลเมียนมาได้ประโยชน์จากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ทั้งการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ และการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ซึ่งตั้งแต่กองทัพเมียนมายึดอำนาจเมื่อปี 2564 รัฐบาลเมียนมาเข้มงวดการเผยแพร่ข่าวสารภายในประเทศอย่างมาก ทำให้ชาวเมียนมาส่วนใหญ่ต้องใช้ VPN เพื่อเข้าถึงสื่อและข่าวสาร รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ที่ทางการเมียนมาปิดกั้น และรายงานข้อมูลภายในเมียนมาออกไปนอกประเทศ
ภาคประชาสังคมคัดค้านกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ฉบับใหม่ เพราะเชื่อว่ามุ่งเน้นการจำกัดสิทธิมากกว่าการคุ้มครองประชาชน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทั้งยังให้อำนาจแก่รัฐบาลในการปิดกั้นการแสดงออกผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ ตั้งแต่ห้วง ก.พ.65-ต.ค.67 รัฐบาลเมียนมาจับกุมผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐผ่านช่องทางออนไลน์ 1,840 คน โดยเมื่อปี 2567 จับกุมผู้กระทำผิดที่แสดงความเห็นต่อต้าน และเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลเชิงลบต่อรัฐบาลได้ทั้งหมด 351 คน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคย่างกุ้งและภาคมัณฑะเลย์
พลเมืองไทยที่อาศัยอยู่ในเมียนมาและผู้ที่มีแผนเดินทางไปเมียนมาต้องระวังการติดตั้งโปรแกรม VPN หรือโปรแกรมในลักษณะใกล้เคียงบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะเมียนมาอาจสุ่มตรวจสอบในระหว่าง การเดินทางหรือพำนักอยู่ในเมียนมา ซึ่งหากถูกจับกุม อาจถูกดำเนินคดีด้วยโทษที่รุนแรงดังกล่าว โดยอาจเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มที่เครือข่ายไม่ถูกปิดกั้นในเมียนมา เช่น LINE แทนแพลตฟอร์มที่ต้องเข้าใช้งานผ่านระบบ VPN เช่น Facebook Messenger Instagram WhatsApp X และ Signal