ปัญหามลพิษทางอากาศในไทยนับวันทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยปี 2567 ไทยมีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 45 ของโลก มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 เฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 19.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงกว่าคำแนะนำคุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลกถึง 3.96 เท่า ซึ่งไทยพยายามจะจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การออก พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. (หรือกฎหมายอากาศสะอาด) เป็นการผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น ซึ่งผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรในวาระแรก และคาดหวังให้ทันบังคับใช้ เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นที่จะรุนแรงอย่างมาก เริ่มในธันวาคม 2568
กฎหมายนี้จะมีส่วนสำคัญช่วยให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นเป็นระบบและยั่งยืน โดยมุ่งจะจัดการแหล่งกำเนิดหลัก 6 แหล่ง คือ ภาคป่าไม้ เกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม เมือง และมลพิษข้ามแดน ซึ่งจะกำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ การตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย วิชาการ และพื้นที่ การมีมาตรการหรือเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งลงโทษ จูงใจและให้ทางเลือก การมีกองทุนเพื่ออากาศสะอาดเพื่อเป็นแหล่งทุนพัฒนา การให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมรับผิดชอบและมีบทบาทเพิ่มขึ้น และการมีบทกำหนดโทษและเก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่สร้างมลพิษ เป็นความหวังของไทยที่จะมีอากาศสะอาดหายใจอีกครั้ง
ทุกฝ่ายทั้งประชาชน ภาครัฐ และฝ่ายการเมือง เห็นพ้องต้องมีกฎหมายที่ทันสมัยในการจัดการปัญหาฝุ่นพิษ ซึ่งร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดนี้มาจากการรวมร่าง 7 ฉบับ ที่เสนอจากทั้งฝ่ายรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และภาคประชาชน ดึงจุดเด่นแต่ละฉบับ และหลอมรวมความรู้จากทุกฝ่าย โดยเมื่อ 17 มกราคม 2567 สภาผู้แทนฯ มีมติเอกฉันท์ 443 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฯ และให้รวมเป็นฉบับเดียว โดยตั้งคณะกรรมาธิการซึ่งตั้งอนุกรรมาธิการ 2 ชุด มีการประชุมรวม 114 ครั้ง (ช่วงมกราคม – ตุลาคม 2567) เพื่อพิจารณาปรับปรุงเนื้อหา และเมื่อกลางธันวาคม 2567 เปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้แทนฯ โดยคาดหวังให้ผ่านสภาผู้แทนฯ ในวาระ 2 และ 3 ก่อนปิดสมัยประชุม 9 เมษายน 2568 เพื่อนำเข้าพิจารณาผ่านวุฒิสภา คาดว่าเป็นช่วงกรกฎาคม 2568
ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาไปถึงเชิงโครงสร้าง รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ให้ความเห็นว่า หลักการสำคัญในฉบับนี้ คือ การให้ความสำคัญเรื่องสิทธิของประชาชน เช่น สิทธิที่จะต้องได้รับข้อมูล สิทธิที่จะหายใจในอากาศสะอาด และสิทธิในการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่หากไม่ปฏิบัติ การมีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งใช้ทั้งหลักการลงโทษและการสร้างแรงจูงใจ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และมีการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ก่อมลพิษ และการจัดตั้งกองทุนเพื่ออากาศสะอาด เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนที่จะพัฒนา และต่อยอดการแก้ปัญหาให้ต่อเนื่อง ทันการ และเพียงพอ โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ก่อมลพิษไว้เยียวยาผลกระทบให้ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยใช้งบแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเพียงร้อยละ 0.26 จากงบประมาณทั้งหมด 3.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเฉพาะงบที่เกี่ยวข้องกับแผนมลพิษทางอากาศหรือฝุ่นมีเพียง 800 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยและยังขาดความต่อเนื่อง และเสนอว่าไทยจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ปัญหาฝุ่น
ผู้มีส่วนสำคัญในการร่วมปรับเนื้อหาร่างกฎหมายอากาศสะอาด ยืนยันออกแบบให้เป็นกฎหมายที่บังคับใช้ได้จริง ลดปัญหาฝุ่นพิษ และแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณากรอบหลักคิดฯ ร่างกฎหมายดังกล่าว กล่าวถึงหัวใจสำคัญของร่างฯ มี 3 ด้าน คือ 1) จัดการต้นทางของแหล่งกำเนิดฝุ่นให้ครบทั้ง 6 แหล่ง คือ ป่าไม้ เกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม เมือง และมลพิษข้ามแดน 2) ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยใช้หลัก 8 – 3 – 1 คือ ช่วงเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือฝุ่นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน แก้ปัญหาช่วงฤดูฝุ่น 3 เดือน และอีก 1 เดือน เป็นการถอดบทเรียนเพื่อวางแผนในพัฒนาปีต่อไป และ 3) สร้างพลังร่วมทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ ในการแก้ปัญหาฝุ่น
ตัวอย่างการแก้ปัญหาฝุ่นในแต่ละแหล่ง ในภาคป่าไม้ พยายามดึงภาคเอกชน และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การทำป่าชุมชนเพื่อเฝ้าระวังไฟป่า ควบคู่กับการดูแลรักษาระบบนิเวศป่า ในส่วนป่าสงวนต้องมีการจัดการสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภาคเกษตร มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการผลิต โดยเปลี่ยนไปปลูกไม้ยืนต้น หรือผักอินทรีย์ จัดการวัสดุการเกษตรให้สามารถสร้างรายได้ และอนุญาตให้ใช้ไฟเผาได้ตามกฎกติกาเท่าที่จำเป็น ในภาคเมือง ใช้เครื่องมือ คือ การทำผังพื้นที่เพื่ออากาศสะอาด การทำการเดินทางให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ การควบคุมความหนาแน่นและการวางตัวอาคาร ส่วนภาคอุตสาหกรรม วางแผนในเชิงพื้นที่เพื่อดูศักยภาพรองรับการระบายมลพิษทางอากาศ กระจายอำนาจให้แต่ละพื้นที่ออกกฎที่เข้มงวดขึ้นได้หากจำเป็น ภาคคมนาคม ดูแลครอบคลุมทุกระบบขนส่ง เพิ่มการกำกับในเชิงพื้นที่ กำหนดเขตควบคุมมลพิษต่ำ ที่ไม่ใช่เพียงการตรวจจับที่ปลายท่อ สำหรับปัญหาใหญ่อย่างมลพิษข้ามแดน เป็นประเด็นที่ต้องบูรณาการข้ามประเทศ ซึ่งมีการเสนอกลไกตรวจสอบย้อนกลับเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าทางการเกษตรที่ไทยนำเข้า เป็นเกษตรที่ปลอดการเผา โดยจะมีการจัดทำ Big data ข้อมูลรายแปลงเกษตรกร และให้แนบประกอบเอกสารนำเข้า หากพบความเชื่อมโยงกับการเผา จะมีการดำเนินคดีกับผู้ลงทุน ลักษณะคล้ายกฎหมายที่บังคับใช้ในสิงคโปร์ สำหรับจุดที่อ่อนไหวของร่างฯ ฉบับนี้ คือ เครื่องมือหรือกลไกค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาดที่เมื่อเรียกเก็บแล้ว อาจมีการส่งผ่านต้นทุนไปสู่ประชาชน
หลายภาคส่วนตื่นตัวร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากผลกระทบที่นับวันทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบในหลายด้าน เฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา โดยเฉพาะมุ่งหาต้นตอที่แท้จริงของฝุ่น ในช่วงที่รอเครื่องมือทางกฎหมาย คือ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ให้สามารถบังคับใช้ได้ในปี 2568 มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและระหว่างประเทศในประเด็นมลพิษทางอากาศมากขึ้น เช่น โครงการ Airborne and Satellite Investigation of Asian Air Quality (ASIA-AQ) นำโดยองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า (NASA) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการบินเก็บตัวอย่างคุณภาพอากาศที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ เพื่อหาต้นตอฝุ่น ในขณะที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) มีการติดตั้งเครื่องมือใหม่เพื่อหาต้นตอฝุ่นที่แท้จริงภายในปี 2568 โดยนำร่องใน 3 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และสงขลา
นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหา เช่น เชียงใหม่โมเดล ที่ดึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน นักวิชาการ และภาครัฐ มาวิเคราะห์และแก้ปัญหาฝุ่น ในส่วนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ลงนาม บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า ซึ่งพบว่าเมื่อปี 2567 สามารถลดไฟป่าอนุรักษ์ได้เกือบครึ่งหนึ่ง และในปี 2568 ตั้งเป้าหมายจะลดลงให้ได้อีกร้อยละ 25 อย่างไรก็ดี สื่อกังวลว่าภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายอากาศสะอาดนี้ อาจทำให้การบังคับใช้กฎหมายล่าช้าออกไป ซึ่งยิ่งจะทำให้ปัญหาฝุ่นพิษเลวร้ายลง แม้เป็นกฎหมายที่หลอมรวมจากทุกฝ่าย และเห็นพ้องว่าจะต้องมีก็ตาม