นับตั้งแต่กลุ่มตอลิบันกลับมาปกครองอัฟกานิสถานเมื่อสิงหาคม 2564 สิทธิสตรีและเด็กหญิงในประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งที่รัฐบาลตอลิบันให้คำมั่นว่าจะเคารพสิทธิสตรีภายใต้กรอบของกฎหมายชะรีอะฮ์ แต่ในทางปฏิบัติ กลับต้องถูกจำกัดสิทธิอย่างรุนแรง ตั้งแต่ห้ามเด็กหญิงเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษา และห้ามผู้หญิงเข้ารับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จนถึงจำกัดสิทธิในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและอนาคตของผู้หญิงและเด็กหญิงในอัฟกานิสถาน !!!!!!
รัฐบาลตอลิบันใช้การตีความตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด โดยจำกัดสิทธิของผู้หญิงในหลายด้าน องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ระบุว่า จนถึงปัจจุบัน ข้อจำกัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเด็กหญิงอัฟกันประมาณ 1.5 ล้านคน ทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็นประเทศเดียวในโลก
ที่จำกัดสิทธิการศึกษาแก่เด็กหญิง หากคำสั่งห้ามดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2573 จะมีเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 4 ล้านคน
รัฐบาลตอลิบันยังห้ามผู้หญิงทำอะไรอีก ….. ห้ามเดินทางไปต่างประเทศ หากไม่มีญาติผู้ชายติดตาม ผู้หญิงต้องแต่งกายมิดชิดอย่างเข้มงวด โดยต้องสวมเสื้อคลุมเต็มตัว (Abaya) เมื่อออกนอกบ้าน การจำกัดสิทธิยังขยายไปถึงการทำงาน โดยห้ามทำงานในหลายภาคส่วน เช่น องค์กรระหว่างประเทศและสหประชาชาติ รวมถึงการสั่งปิดร้านทำผมและสถานบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง ขณะเดียวกัน ก็ห้ามทำกิจกรรมในที่สาธารณะ เช่น การเล่นกีฬา การใช้สวนสาธารณะ และการปรากฏตัวในสื่อ (ยกเว้นนักข่าว) ตลอดจนห้ามอ่านอัลกุรอานในที่สาธารณะ
การบังคับใช้กฎหมายชะรีอะฮ์ยังนำไปสู่การลงโทษที่รุนแรง เช่น การเฆี่ยนตีและการปาหินในที่สาธารณะตามข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการล่วงประเวณี หรือการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนา……
ทำไมอัฟกานิสถานยังเป็นหนึ่งในประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิง ???? ก็เพราะผู้หญิงถูกจำกัดสิทธิอย่างมากมาย และขาดเสรีภาพในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพ เฉพาะอย่างยิ่งในกรณีถูกห้ามไม่ให้เดินทางเพียงลำพัง หากไม่มีญาติชาย เช่น พ่อ สามี หรือพี่ชายตามไปด้วย ขณะที่โรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทมักอยู่ห่างจากที่พักมากกว่า 75 กิโลเมตร ผู้หญิงยังต้องรักษากับแพทย์หญิงเท่านั้น ทำให้ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 70 คน ในทุก 1,000 คน ต้องเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร เพราะขาดบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งก็เป็นวงจรที่เป็นผลจากการจำกัดสิทธิด้านการศึกษาของผู้หญิง ทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนแพทย์ได้เพียงพอ
ท่าทีต่อเรื่องนี้ต่อรัฐบาลตอลิบัน…… รัฐบาลตอลิบันได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนองค์การนอกภาครัฐ (NGOs) ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะการห้ามผู้หญิงทำงาน องค์กรสิทธิมนุษยชนประณามการละเมิดสิทธิสตรีและเด็กหญิงในอัฟกานิสถาน รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลตอลิบันเคารพสิทธิพื้นฐานของประชาชน ทบทวน และปรับเปลี่ยนนโยบายการกดขี่สิทธิสตรีมาโดยตลอด หลายองค์กรระหว่างประเทศระงับความช่วยเหลือด้านการพัฒนาหรือยังคงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวอัฟกันผ่านองค์กรระหว่างประเทศและ NGOs เท่านั้น
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาและการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งในห้วงที่ยังไม่มีประเทศใดให้การรับรองรัฐบาลตอลิบันที่ขึ้นบริหารประเทศ โดยไม่ชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ดำเนินการตามหลักการสากล รวมถึงไม่ทำตามข้อเรียกร้องของสหประชาชาติ (UN) และประชาคมระหว่างประเทศ เช่น การเคารพสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ การปฏิรูปการปกครอง (ให้มีตัวแทนจากชาติพันธุ์อื่นเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น) และการป้องกันการใช้ประเทศเป็นที่หลบซ่อนของกลุ่มก่อการร้าย
แล้ว…. เรื่องดังกล่าวมีผลอย่างไรต่ออัฟกานิสถาน ???? การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะทรัพยากรบุคคลขาดแคลนในหลายด้าน เฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมจากผู้หญิงในสังคม อย่างไรก็ดี รัฐบาลตอลิบันออกแถลงการณ์ยืนยันเมื่อต้นมีนาคม 2568 ว่า สตรีอัฟกันยังคงใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและได้รับการคุ้มครอง
ปัจจุบัน ไม่มีคนไทยอาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน การท่องเที่ยวจากไทยไปยังอัฟกานิสถานก็ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เป็นยูทูบเบอร์หรือผู้ผลิตสารคดีท่องเที่ยว ซึ่งผู้หญิงควรระมัดระวังในการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับกฎหมายชะรีอะฮ์ และหากไม่จำเป็น ควรพิจารณาชะลอการเดินทาง เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังไม่สงบ และรัฐบาลตอลิบันยังคงประกาศกฎระเบียบใหม่เป็นระยะ ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิของสตรีและนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ไทยยังไม่มีหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในอัฟกานิสถาน ทำให้การช่วยเหลือคนไทยในกรณีฉุกเฉินเป็นไปอย่างยากลำบาก