เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จากที่ไม่ค่อยสดใสอยู่แล้ว มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงไปอีก จากผลกระทบของการขึ้นนโยบายภาษีตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568 แม้สหรัฐฯ จะเลื่อนการตอบโต้ทางภาษีออกไปอีก 90 วันขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลง หรืออาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ราคาแพงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ และส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่คิดเป็นร้อยละ 70 ของ GDP ของประเทศอ่อนแอลง อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF หรือสถาบันการเงินชั้นนำก็ยังเชื่อว่ามาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะไม่ทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2568 เข้าสู่ภาวะถดถอย
Kristalina Georgieva กรรมการจัดการของ IMF เตือนการขึ้นภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าหลีกเลี่ยงที่ทำให้เกิดสงครามการค้า และหาทางออกร่วมกัน ส่วนการประเมินผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกนั้น IMF กำลังประเมินอยู่ และจะเผยแพร่รายงานที่จัดทำร่วมกับธนาคารโลกในภาพรวมในการประชุมเดือนเมษายน 2568 นี้ แต่ยืนยันว่าส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี น่าจะยังไม่ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอันใกล้นี้ แต่ชะลอตัวลงจากที่คาดไว้ที่ร้อยละ 3.3 แน่นอน
หากกลับมาดูที่แนวโน้มการเติมโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างกับการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า แม้ในระยะยาว สหรัฐฯ ต้องการสนองตอบนโยบาย America First ที่ต้องการดึงเงินลงทุนกลับสหรัฐฯ และคุมห่วงโซ่อุปทานของโลกให้มากที่สุด รวมทั้งลดการขาดดุลงบประมาณด้วยการเก็บภาษีให้มากขึ้น ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าชาวอเมริกันอาจจะเจ็บปวดในช่วงแรก แต่ระยะต่อไปประเทศจะมั่งคั่ง และหากประเทศใดต้องการภาษีร้อยละ 0 ก็ขอให้ไปลงทุนในสหรัฐ ฯ และการขึ้นภาษีตอบโต้ครั้งนี้ประเมินว่าจะช่วยทำให้มูลค่าของ GDP สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ในปี 2568 ถึงร้อยละ 1.3
อย่างไรก็ดี โอกาสความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว JPMorganประเมินแล้วว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าในปี 2568 จะขยายตัวร้อยละ 1.3 จะลดลงอีกร้อยละ 0.3 และการขึ้นภาษีส่งผลกระทบทั้งความเชื่อมั่น การลงทุน กำไรของผลประกอบการ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งประเมินโอกาสที่สหรัฐฯ จะถดถอยเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 60 จากร้อยละ 40 ก่อนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ แม้รายได้จากเก็บภาษีที่สหรัฐฯ จะได้ประมาณ 1.3 ของ GDP แต่ก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น Goldman Sachs ประเมินโอกาสที่สหรัฐฯ จะถดถอยเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็น ร้อยละ 45 จากร้อยละ 35 S&P Global จากร้อยละ 25 เป็น 30-35 HSBC เป็นร้อยละ40 การชะลอตัวของเศรษบกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะชะลอตัวลง ไม่ได้เกินความคาดหมาย ซึ่งสหรัฐฯ ก็ตระหนักในเรื่องนี้ดี แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ความมั่งคั่งกลับสู่สหรัฐฯ และยึดมั่นในนโยบาย America First ก็ยิ่งทำให้โลกปั่นป่วน เฉพาะอย่างยิ่งการไหลเวียนของระบบการค้าโลก และกฎระเบียบของการค้าโลกตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) ก็ไร้ความหมายมากขึ้น นอกจากนี้ สำคัญที่สุดคือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และ 2 คือสหรัฐฯ และจีนกำลังทำสงครามการค้ากันเต็มรูปแบบ ด้วยการใช้การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้กัน ซึ่งขณะนี้จีนต้องเสียภาษีสินค้านำเข้าถึงร้อยละ 104 อย่างไรก็ดี จีนระบุว่า การกระทำของสหรัฐฯ ไม่มีเหตุผล และเป็นการกลั่นแกล้งแต่เพียงฝ่ายเดียว มาตรการโต้กลับของจีน ชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนา ตลอดจนรักษาระเบียบการค้าระหว่างประเทศ จีนจะต่อสู้จนถึงที่สุด
สำหรับเศรษฐกิจเอเชียไม่ต้องพูดถึง ชะลอตัวอย่างแน่นอน เพราะประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค พี่งพาสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก และมีการประเมินต่อไปกันอีกว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศในภูมิภาคเอเชีย อาจไม่ราบรื่นมากนัก นอกจากนี้ ประเทศในเอเชียก็จะเผชิญกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์สองมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกด้วยเช่นกัน