กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้งสำหรับปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา เมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณต้นสัตบรรณในพื้นที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อชายแดนไทย – กัมพูชา – ลาว หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า สามเหลี่ยมมรกต
ไทย กัมพูชา และลาวมีการสร้างศาลาตรีมุข บริเวณสามเหลี่ยมมรกต เมื่อปี 2534 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือที่ดีระหว่างทั้ง 3 ประเทศ ที่ผ่านมาถูกใช้เป็นพื้นที่พบปะ และประสานงานระหว่างทหาร รวมถึงเป็นที่พักผ่อนของประชาชน แต่เมื่อ 1 มีนาคม 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้ศาลาตรีมุข ทำให้ศาลาเสียหายทั้งหลัง เหตุการณ์นี้ได้จุดประเด็นความอ่อนไหวและข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต และตอกย้ำความตึงเครียดอีกครั้งจากเหตุปะทะ เมื่อ 28 พฤษภาคม 2568
บทความนี้อยากจะชวนทุกคนมารู้จักกัน “สามเหลี่ยมมรกต” ว่าสิ่งนี้คืออะไร และมีความสำคัญยังไงบ้าง อย่างที่บอกไปข้างต้น พื้นที่สามเหลี่ยมรกต หรือ Emerald Triangle เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เป็นจุดบรรจบกันของชายแดน 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย (พื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี) กัมพูชา (พื้นที่จังหวัดพระวิหาร) และลาว (พื้นที่แขวงจำปาสัก) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 12 ตารางกิโลเมตร
ในอดีตพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เป็นที่รู้จักในฐานะสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งของไทย โดยเฉพาะในห้วงปี 2528–2530 ที่กองทัพของไทยสู้รบกับกองทัพเวียดนามที่เข้ายึดครองกัมพูชา และต้องการปิดกั้นเส้นทางส่งกำลังบำรุงขัดขวางกลุ่มเขมรแดง ทำให้เกิดมีการรุกล้ำชายแดนไทยในพื้นที่ช่องบก ซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน ซึ่งสุดท้ายแล้ว กองทัพไทยก็สามารถสู้รบและขับไล่ทหารเวียดนามออกจากพื้นที่ช่องบกได้สำเร็จในปลายปี 2530 แม้จะชนะแต่ฝ่ายไทยก็สูญกำลังไปมากกว่า 100 นาย
“สามเหลี่ยมมรกต” ยังมีบทบาทและความสำคัญในฐานพื้นที่ความร่วมมือในภูมิภาค ภายหลังรัฐบาลไทย กัมพูชา และลาว เห็นว่า พื้นที่ตรงนี้มีศักยภาพรัฐบาลในขณะนั้นจึงเห็นพ้องลงนามในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมระหว่าง 3 ประเทศ หรือ Emerald Triangle Cooperation (ETC) เมื่อปี 2543 ที่มีเป้าหมาสำคัญ 1) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ (ส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ยกระดับชีวิตประชาชนในพื้นที่) 2) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากพื้นที่ชายแดนทั้งสามประเทศมักยากจนกว่าพื้นที่อื่น ๆ 3) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านสังคม และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ 4) เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อุดมสมบูรณ์ทั้งสัตว์ป่าและป่าไม้
ความร่วมมือภายใต้กรอบ ETC ในอดีตมีความพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดทำแผ่นการท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น Pakse Declaration เมื่อปี 2546 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงการคมนาคม อำนวยความสะดวกทั้งคนทั้งสินค้า และ โครงการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าข้ามพรมแดน โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization -ITTO) และแม้กรอบความร่วมมือ ETC จะเกิดจากวัตถุประสงค์ที่ดี และมีการผลักดันมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้ามากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาเขตแดนไม่ชัดเจนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาความร่วมมือ นอกจากนี้ กรอบนี้ยังทำงานซ้ำซ้อนกับกรอบความร่วมมืออื่น ๆ อาทิ GMS (Greater Mekong Subregion) และ ACMECS (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy) สุดท้ายคงเป็นเพราะความไม่ต่อเนื่องของโครงการจากปัญหางบประมาณและการผลักดันจากรัฐบาลของแต่ละประเทศ
จะเห็นว่าพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เป็นพื้นที่แสดงถึงความทับซ้อนทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของการเผชิญหน้า และศักยภาพของความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งที่ผ่านมาพยายามเปลี่ยนจากพื้นที่ขัดแย้งให้กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสและมิตรภาพ แต่สุดท้ายความท้าทายในพื้นที่ก็คงอยู่โดยเฉพาะประเด็นการปักปันเขตแดนที่ยังคงเป็นเรื่องอ่อนไหวในปัจจุบัน และยากจะหาข้อสรุประหว่างกันได้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่เชื่อว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดขึ้น คือ การปะทะกันด้วยอาวุธอย่างรุนแรง เพราะสุดท้ายผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์