สิ่งท้าทาย หรือภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เกิดใหม่ที่สำคัญห้วงปี 2567-2568 ในตอนที่ 2 นี้ จะนำเสนอประเภทของความท้าทายความมั่นคงเกิดใหม่ ต่อจากตอนที่ 1 โดยตอนที่ 2 นี้ จะเสนออีก 4 ประเภท ได้แก่ Gray Zone Warfare : Escalating Tensions in International Conflicts and Great Powers Competitions ,Transnational Threats :Terrorism and Transnational Crimes และ Deglobalization
Gray Zone Warfare: Escalating Tensions in International Conflicts and Great Powers Competitions
Gray Zone Warfare เป็นรูปแบบความตึงเครียดที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจที่พบบ่อยที่สุดในห้วงที่ผ่านมา โดยเป็นสภาวะที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสันติภาพและสงครามเต็มรูปแบบ มักใช้ปฏิบัติการทางลับหรือกึ่งลับ โดยมุ่งบ่อนทำลายหรือก่อกวนเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอ โดยไม่เข้าสู่ภาวะสงคราม อาทิ การปล่อยข่าวลวง การแทรกแซงทางไซเบอร์ และการใช้ Proxy เพื่อสร้างความไม่มั่นใจให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นการลงมือของฝ่ายใด เพื่อหลีกเลี่ยงฝ่ายตรงข้ามตอบโต้โดยตรง เป็นต้น
เป้าหมายที่ส่วนใหญ่จะถูกโจมตีตามแนวทาง Gray Zone Warfare คือ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีระบบไซเบอร์ พบบ่อยที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความคลุมเครือ ทั้งทางกฎหมายและการเมือง และยากต่อการระบุผู้กระทำ หรือผู้กระทำสามารถปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ ดังนั้น การรับมือกับ Gray Zone Warfare จึงต้องอาศัยทั้งวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ ความพร้อมทางทหาร ความคล่องตัวด้านเทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศ
ตัวอย่างกรณีที่ Gray Zone Warfare พัฒนามาเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การสู้รบในฉนวนกาซา และการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่รัสเซียใช้แนวทาง Gray Zone Warfare ในการยึดไครเมียตั้งแต่ปี 2557 โดยใช้ทหารนอกเครื่องแบบ โฆษณาชวนเชื่อ และการโจมตีทางไซเบอร์
Transnational Threats: Terrorism and Transnational Crimes
การก่อการร้ายที่ขยายตัวในระดับโลกอาศัยกระบวนการบ่มเพาะแนวคิดรุนแรงด้วยตนเอง กลุ่มก่อการร้ายมีแนวโน้มเผยแพร่อุดมการณ์แบบไม่เจาะจงเป้าหมายมากขึ้น คล้ายการหว่านแห ส่งต่อข้อมูลที่มีความรุนแรง และรอให้มีบุคคลสนใจ และติดตามต่อ ซึ่งทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้ ทั้งนี้ อาจมีการใช้โปรแกรมแปลภาษา และการเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลให้ทันสมัย อาทิ Memes (กระแสมุกขำขัน มักเป็นภาพหรือวิดีโอสั้น ๆ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสื่อสังคมออนไลน์) และการดัดแปลงเกม เป็นต้น
เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้อาชญากรรมข้ามชาติขยายตัวรวดเร็ว รวมทั้งทำให้เข้าถึงเหยื่อได้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงการตรวจพบและพิสูจน์ทราบจากหน่วยความมั่นคง อาชญากรรมข้ามชาติยังเชื่อมโยงกับภัยคุกคามอื่น ๆ ทั้งการก่อการร้าย ความรุนแรงทางการเมือง และอุดมการณ์ รวมทั้งปฏิบัติการไซเบอร์ โดยถูกใช้เป็นเครือข่ายอำนวยความสะดวกและสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยคุกคามอื่น อาทิ การจัดหาเงินทุนหรือสินค้าผิดกฎหมาย การผลิตเอกสารปลอม และการว่าจ้างก่อเหตุโจมตีเป้าหมาย เป็นต้น
กลุ่มที่จะตกเป็นเป้าหมายใช้ประโยชน์ คือ กลุ่มเปราะบาง อาทิ คนว่างงาน และเยาวชน ขณะที่การโจมตีเป้าหมายระบบโครงสร้างสร้างพื้นฐานสำคัญจะที่ความสำคัญมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กฎหมายอ่อนแอหรือมีความขัดแย้งในสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว ดังเช่น เครือข่ายฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยตรง เพราะทำลายการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่วนการค้ามนุษย์และยาเสพติดทำลายทรัพยากรมนุษย์ และสุขภาพ
Deglobalization
พัฒนาการทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การก่อการร้าย และอาชญากรรม
ข้ามชาติ ส่งผลให้ประชาชนและกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ เริ่มต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ และนำไปสู่การเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ให้กลับมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับเสถียรภาพภายในประเทศ และลดความสำคัญของความร่วมมือพหุภาคี และระบบเศรษฐกิจและการค้าแบบเสรีนิยม ที่สำคัญคือ นโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการตอบโต้ของจีน
แนวโน้มดังกล่าวทำให้หลายประเทศให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติก่อนเป็นหลัก โดยหันมาผลิตสินค้าภายในประเทศ (Reshoring) หรือดำเนินการค้ากับประเทศพันธมิตร (Friend-shoring) หรือประเทศในภูมิภาค (Nearshoring) และยังเผชิญความท้าทายจากกระแสชาตินิยมที่มีแนวโน้มถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ กระแสเกลียดชังคนต่างเชื้อชาติและศาสนา และแนวคิดรุนแรงสุดโต่ง
สืบเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในโลกที่เกิดจากสิ่งท้าทาย หรือภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เกิดใหม่ตามที่กล่าวมาทั้งในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 นี้ การแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือในระดับภูมิภาค ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต และโลกไม่ได้จะเผชิญกับสิ่งท้าท้ายที่เกิดใหม่เหล่านี้เท่านี้น ในระยะต่อไป โลกยังเสี่ยงเผชิญวิกฤตการณ์ที่ยากต่อการคาดการณ์อีกหลายด้าน เช่น จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคอุบัติใหม่ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งความถี่และความรุนแรงของแต่ละวิกฤตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม อาหาร และพลังงาน รวมถึงความเสี่ยงต่อปัญหาที่จะมาจากการอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากร และการแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร