ท่ามกลางความกังวลของทั่วโลกต่อภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค และดูจะยังไม่มีสถานการณ์ ในพื้นที่ใดคลี่คลายลงอย่างไว้วางใจได้ ภัยจากการก่อการร้ายดูจะถูกหลงลืมไปพร้อม ๆ กับข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายที่ดูจะเงียบ ๆ ไปเช่นกัน แต่ภัยที่ไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี… หรือจะไปเล่นในเวทีโลกอินเทอร์เน็ต หรือการก่อการร้ายทางกายภาพอาจจะกลับมาอีกจากการที่อิหร่านต้องการแก้แค้นสหรัฐฯ ที่ทิ้งระเบิดโรงงานนิวเคลียร์เมื่อ 21 มิถุนายน 2568
กลุ่ม Tech Against Terrorism ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 โดยได้รับการสนับสนุนจาก UN เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีกับภาครัฐในการก่อกวนการใช้อินเทอร์เน็ตของกลุ่มก่อการรายและกลุ่มสุดโต่ง แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิมนุษยชน เผยแพร่รายงานเมื่อต้นปี 2568 ระบุว่า กลุ่มก่อการร้ายมีการเคลื่อนไหวผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องและพัฒนามากขึ้นจนยากจะติดตามและป้องกัน
รายงานเรื่อง “Beyond Content Moderation: The Urgent Need to Stop Terrorist-Operated Websites” ระบุว่า กลุ่มก่อการร้ายมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่ใช้งานมากขึ้น แต่ยังเปลี่ยนจากการเป็นผู้ใช้งานเป็นผู้ปฏิบัติการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ปี 2564 พบว่ามีเว็บไซต์ที่เป็นการดำเนินการ ของกลุ่มก่อการร้ายกว่า 300 เว็บไซต์ และเมื่อถูกขัดขวางก่อกวนจนต้องปิดบริการก็กลับมาเปิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนว่า กลุ่มก่อการร้ายไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ใช้งาน แต่เป็นผู้ปฏิบัติการด้วย
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังมีสิ่งท้าทายที่น่าสนใจตามมาคือ การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารทางยุทธศาสตร์และการประสานงาน เพิ่มเติมจากที่ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดหาสมาชิกใหม่และการบ่มเพาะแนวคิดนิยมความรุนแรง เพื่อสร้างความนิยมในประเทศและแสดงบทบาทในต่างประเทศ โดยมีการผสมผสานสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเข้ากับสิ่งที่กลุ่มต้องการบอกเล่าเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนและสร้างความชอบธรรมในการท้าทายอำนาจรัฐ และผลักดันประเด็นการเมือง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการนำเสนอในลักษณะดังกล่าวเริ่มปรากฏตั้งแต่ปลายปี 2566
นอกจากนั้น กลุ่มก่อการร้ายยังกลายเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้นแทนที่จะเป็นเพียงผู้ใช้งาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยิ่งทำให้ยากที่จะตรวจจับและสกัดกั้น อีกทั้งยังมีปัญหาท้าทายจากข้อจำกัดในการตรวจจับและการวิเคราะห์เนื้อหาที่กลุ่มก่อการร้ายนำเสนอ เช่น ภาษา จึงทำให้การติดตามสอดส่องความเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มก่อการร้ายทำได้น้อยมาก รายงานระบุว่าน้อยกว่าร้อยละ 1 ของเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อการร้ายที่เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ประกอบกับทั่วโลกเผชิญภัยคุกคามหลากหลายและเกิดภาวะไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์จึงทำให้การต่อต้านการก่อการร้ายเป็นประเด็นที่ได้รับความสำคัญลดลง
อย่างไรก็ดี การก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรงของกลุ่มสุดโต่งยังเป็นปัญหาที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของทุกประเทศ โดยความผันผวนของการเมืองระหว่างประเทศ การเข้าไปเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเพิ่มขึ้นของกลุ่มเยาวชน และการชี้นำการก่อเหตุผ่านสื่อออนไลน์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัญหาก่อการร้ายออนไลน์น่าห่วงกังวลมากขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในแทบทุกภูมิภาคทั่วโลกเป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มก่อการร้ายในการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อก่อเหตุในโลกจริงและโลกเสมือน โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญ
ดังนั้น ต้องไม่ลืมว่าการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรงของกลุ่มสุดโต่งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงที่พร้อมจะเกิดขึ้นทุกเมื่อ และการเคลื่อนไหวผ่านระบบออนไลน์ก็จะมีมากขึ้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และแวดวงวิชาการภายในแต่ละประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสอดส่อง ตรวจจับ และสกัดกั้นเนื้อหาที่กลุ่มก่อการร้ายเผยแพร่ผ่านช่องทางดังกล่าว ควบคู่กับการมีแนวทางจัดการกับปัญหาดังกล่าวร่วมกันระหว่างประเทศ เช่น การป้องกันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์และโครงสร้างพื้นฐานการปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้าย การกำหนดมาตรฐานการตอบโต้ข้ามแดน และความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตกับหน่วยงานด้านความมั่นคง