เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อนครดานัง หรือเมืองดานัง เมืองท่า และสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งสวยงามแห่งหนึ่งของเวียดนามตอนกลาง ที่จนถึงทุกวันนี้ก็อาจจะยังเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในฝันของใครหลาย ๆ คนที่ต้องการไปสัมผัสชายหาดสวยงามติดทะเลจีนใต้ และเยี่ยมชมสะพานมังกรอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นครดานังจะถูกพลิกโฉมหน้าครั้งใหญ่ และกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ในฐานะ “เขตการค้าเสรี (Free Trade Zone-FTZ)” แห่งแรกของเวียดนามที่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการประกาศบทบาทใหม่ของนครดานังบนเวทีการค้าโลก เป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (Strategic growth pole) ของเวียดนามในบริบทใหม่ของการพัฒนา
เวียดนามประกาศเมื่อ 22 มิถุนายน 2568 จัดตั้งเขตการค้าเสรีดานัง (Da Nang Free Trade Zone: FTZ) เป็นเขตการค้าเสรีแห่งแรกของเวียดนาม บนพื้นที่ 1,881 เฮกตาร์ (ประมาณ 11,756 ไร่) ซึ่งจะประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านการผลิต การค้าและโลจิสติกส์ อาทิ ท่าเรือน้ำลึก ศูนย์นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ เป้าหมายเพื่อส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการดึงดูดการลงทุนอย่างมีระบบในระดับภูมิภาคและระดับโลก และส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญในภูมิภาค
ทำไมต้องนครดานัง ?
การตัดสินใจเลือกนครดานังเป็นที่ตั้ง FTZ แห่งแรกของเวียดนามไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เลือกเพราะเมืองนี้มีศักยภาพที่โดดเด่นหลายประการ อย่างแรกคือ ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ นครดานังตั้งอยู่บนเส้นทางสายหลังเชื่อมเวียดนามกับอาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ มีท่าเรือน้ำลึก คือ ท่าเรือเหลียนเชียว (Lien Chieu Port) และท่าอากาศยานนานาชาติ(Da Nang International Airport) ที่รองรับการขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตั้งอยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นครดานังได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องทั้งถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า ประปา และระบบการสื่อสาร ทำให้เมืองพร้อมรองรับการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่
รัฐบาลยังสนับสนุนเต็มที่ ด้วยการเล็งเห็นถึงความสำคัญของเขตการค้าเสรีในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยประกาศให้เขตการค้าเสรีดานังคือต้นแบบใหม่ของการปฏิรูประบบราชการและนโยบาย (Breakthrough Institutional Model) ทั้งยังมีการออกกฎระเบียบ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติผ่านกระบวนการวางแผนที่ชัดเจน การปฏิรูประบบราชการ และการพัฒนานโยบายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง แรงงานที่มีศักยภาพ นครดานังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพสูงในหลากหลายสาขาอาชีพ
FTZ ดานัง: โอกาสและความท้าทาย
การเปลี่ยนผ่านนครดานังจากเมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวสู่เขตการค้าเสรีจะนำมาซึ่งโอกาสมหาศาลสำหรับดานังและเวียดนามโดยรวม ทั้งดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) โดยFTZ จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทค การผลิตเพื่อการส่งออก และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง กระตุ้นการส่งออกและขยายตลาด การลดขั้นตอนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTZ จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลก ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม FTZ เป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนา และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ และสุดท้าย สร้างงานและยกระดับทักษะแรงงาน การเข้ามาของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จะสร้างโอกาสการจ้างงานจำนวนมาก และยังส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ซึ่งจะช่วยยกระดับทักษะและความสามารถของแรงงานเวียดนาม
อนาคตของนครดานัง……
การเปลี่ยนแปลงสู่เขตการค้าเสรีเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดอนาคตของนครดานัง ไม่ใช่เพียงแค่การเป็น “เมืองท่องเที่ยว” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของเวียดนามและภูมิภาค และนอกจากโครงการเขตการค้าเสรีแล้ว นครดานังยังเร่งเดินหน้าโครงการสำคัญอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก โครงการเพิร์ลไอส์แลนด์ (Pearl Island area) และศูนย์การเงินนานาชาติ
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีดานังจึงไม่ใช่เพียงการพัฒนาในเชิงพื้นที่เท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของบทบาทใหม่ของเวียดนาม ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัฐบาลเวียดนามในการผลักดันประเทศไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การจับตาดูการพัฒนาของ FTZ นครดานังจะเป็นภาพสะท้อนที่น่าสนใจว่าเวียดนามจะใช้โอกาสนี้ในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศได้อย่างไร ซึ่งไทยเราเองก็ควรติดตามและปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในแง่ของความร่วมมือ และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในแง่ของการแข่งขันที่มีแนวโน้มทวีความเข้มข้นขึ้น