สถานการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้นภายในและระหว่างประเทศในหลายภูมิภาค ร่วมด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติหลากรูปแบบในหลายประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าที่ซ้ำเติมความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ไม่เพียงสร้างความลำบากในการดำรงชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป แต่ยิ่งสร้างความทุกข์ยากให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่เหล่านั้น และจะยิ่งหนักหน่วงขึ้นหากไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ยากจะแก้ไข
ข่าวการปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ต่างชาติของฝรั่งเศสลง ร้อยละ 5 ของงบความช่วยเหลือทั้งหมด เมื่อกรกฎาคม 2568 ทำให้องค์กรพัฒนาเอกชนเกือบ 190 แห่ง กังวลว่าจะกระทบต่อการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ทั้งด้านสาธารณสุข อาหาร และน้ำ รวมทั้งการดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เปราะบาง สะท้อนว่า สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศจะเผชิญภาวะวิกฤตมากขึ้น กลุ่ม NGOs ระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน เนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว หรือ ปี 2567 ฝรั่งเศสยังเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนารายใหญ่ลำดับ 5 ของโลก ต่อจากสหรัฐฯ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น อีกทั้งนับตั้งแต่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2560 ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือแก่ต่างชาติเป็นภารกิจในลำดับต้น ๆ ทั้งยังจัดสรรงบประมาณให้เพิ่มเติม
ไม่เพียงฝรั่งเศส ประเทศใหญ่ ๆ ต่างทยอยปรับลดงบการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแก่ต่างชาติ ไม่ว่าเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เบลเยียม สหราชอาณาจักร และที่สำคัญคือ สหรัฐฯ ประเทศผู้ให้รายใหญ่ ที่ตัดงบประมาณของ USAID จนกระทบต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในหลายประเทศ ทั้งผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ ประเทศเจ้าของพื้นที่ที่มีผู้ประสบภัยเข้าไปพึ่งพิง ไม่เว้นแม้แต่องค์กรในสังกัดสหประชาชาติ ที่ต้องอาศัยงบประมาณเพื่อสนับสนุนภารกิจขององค์กร โดยมีรายงานว่า จนถึงปลายมิถุนายน 2568 Office for Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ของสหประชาชาติ ได้รับเงินสนับสนุน 5,960 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
การปรับลดงบการพัฒนาของบรรดาประเทศใหญ่จะทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในประเทศต่าง ๆ เลวร้ายลง โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ความอดอยากหิวโหย และโอกาสด้านการศึกษา โดย UN ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2560 ทั่วโลกมีผู้ตกอยู่ภาวะหิวโหยเพิ่มขึ้น และประมาณ 733 ล้านคนอยู่ในภาวะทุพโภชนาการเมื่อปี 2566 ซึ่งจำนวนผู้หิวโหยและประสบภัยด้านมนุษยธรรมจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อการสู้รบในประเทศต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมยังไม่มีท่าทีจะยุติ ซ้ำร้ายยังเกิดเหตุสู้รบในพื้นที่ใหม่หลายแห่ง
ที่ย้อนแย้งไปกว่านั้นคือ เหล่าประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่ยืนยันสนับสนุนสันติภาพ และมักเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งอดทดอดกลั้น ใช้การเจรจาประนีประนอม และหยุดยิง หันไปเพิ่มงบประมาณการทหารกันถ้วนหน้า ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย เพื่อเตรียมรับภารกิจสงครามในยูเครน ตะวันออกกลาง และความเสี่ยงในอินโด-แปซิฟิก โดยประเทศที่มีงบการทหารสูงที่สุดในโลก 15 ประเทศในปี 2568 ได้แก่ สหรัฐฯ จีน รัสเซีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น ยูเครน ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ อิตาลี อิสราเอล โปแลนด์ และออสเตรเลีย
การลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือของประเทศผู้บริจาครายใหญ่ ประกอบกับการใช้กำลังทหารดูจะเป็นทางเลือกหลักที่หลายประเทศนำมาใช้เมื่อเกิดความขัดแย้ง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความสำคัญของเส้นเขตแดนที่นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นท่ามกลางการคลายลงของกระแสโลกาภิวัตน์ ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ความเสี่ยงจากโรคติดต่อทั้งอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ความไม่มั่นคงทางอาหาร น้ำ และการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างประเทศ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงและซ้ำเติมวิกฤติมนุษยธรรมให้ยิ่งหนักหน่วง ขณะเดียวกันก็จะผลักดันให้ประเทศผู้ประสบภัยและองค์การด้านมนุษยธรรมต้องปรับตัวในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว โดยภาคเอกชนและภาคประชาคมสังคมในท้องถิ่นจำเป็นต้องมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาในประเทศมากขึ้นร่วมกับภาครัฐ
ขณะที่ในระดับโลก การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ต่างชาติจะกลายเป็นพื้นที่แสดงบทบาทของประเทศหน้าใหม่ที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจและต้องการแสดงบทบาทระหว่างประเทศมากขึ้นท่ามกลางการปรับเปลี่ยนบทบาทของสหรัฐฯ ร่วมด้วยประเทศพันธมิตรในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่ แต่ก็เป็นไปได้ว่า การให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจะกลับมาเป็นพื้นที่แข่งขันและช่วงชิงการมีบทบาทนำระหว่างประเทศใหญ่อีกครั้ง เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมือง โดยใช้กลไกพหุภาคีของแต่ละฝ่ายเป็นตัวขับเคลื่อน ร่วมด้วยบรรษัทข้ามชาติที่จะเป็นอีกตัวแสดงสำคัญที่จะมีบทบาทในสถานการณ์โลกมากขึ้น