เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) ป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น บริษัทผู้ให้บริการทางด้านคอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง IBM ได้กล่าวไว้ว่าองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า ร้อยละ 42 หันมาใช้ AI ในการทำงาน และมีคาดว่าอุตสาหกรรม AI ทั่วโลกจะเติบโตจนมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า ร้อยละ 20 เราได้เห็นการใช้ AI ที่เข้าถึงการทำงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานบัญชี การเงิน กฎหมาย การแพทย์ การศึกษา ศิลปะ หรือดนตรี ไปจนถึงการบริหารองค์กร เพราะจุดเด่นของ AI อยู่ที่ความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ในระดับที่มนุษย์ต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากในการดำเนินการหรือใช้เวลาที่มากกว่า
ความสามารถเฉพาะของ AI ที่เสนอข้อมูลได้รวดเร็ว ทำให้มนุษย์เริ่มเชื่อว่าข้อมูลจาก AI จะทำให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วและแม่นยำ แต่มนุษย์จะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ และกลั่นกรองโดย AI นั้นจะมีความ “ยุติธรรม” (fair) และ “ไร้อคติ” (unbiased) เพราะแม้ว่า AI จะมีความสามารถในการเรียนรู้ แต่สิ่งที่เรียนรู้นั้นมากจาก “มนุษย์” ผู้ซึ่งมีความซับซ้อน มีอารมณ์ และอคติตามประสบการณ์ของแต่ละคน
AI สมัยใหม่โดยเฉพาะแบบ Machine Learning และ Deep Learning สามารถเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาล (training data) ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมการใช้งานของมนุษย์ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสถิติของลูกค้า หรือคำสั่งจากผู้บริหาร เมื่อ AI ได้รับชุดคำสั่ง หรือ “prompt” จากมนุษย์ AI จะไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เพียงแค่ค้นหาคำตอบที่มีลักษณะเหมือนการหาข้อมูลผ่าน search engine เหมือนที่คนทั่วไปก็สามารถทำเองได้ แต่ AI จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากบริบทต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อนำข้อมูลประมวลผลโดยอ้างอิงจากสิ่งที่เคยเรียนรู้ในอดีตผ่านการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ใช้งานและ AI …จากกระบวนการนี้จะทำให้เห็นได้ว่า ยิ่งเราใช้งานมาก AI ก็จะมีทักษะที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้ AI เป็นนวัตกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวตามคำสั่งของผู้ใช้งาน อาจเรียกได้ว่า AI สร้าง Character หรือคุณลักษณะเฉพาะขึ้นมาให้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์แต่ละคน ซึ่งความแตกต่างนี้ทำให้ข้อมูลที่ AI นำเสนอหรือคำตอบที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นคำสั่งหรือคำถามแบบเดียวกันก็ตาม
สรุปได้ว่า คำตอบของ AI จะมีตัวแปรอื่น ๆ ที่มีผลต่อการประมวลผล ไม่ใช่เฉพาะการค้นหาความเป็นจริง เพียงอย่างเดียว (fact) เพราะสิ่งที่ AI พยายามค้นหา คือ คำตอบที่เหมาะสมที่สุดที่จะตอบกลับผู้ใช้งาน หรือสามารถนิยามได้ว่า AI นั้นจะมีการ “เลือก” ที่จะเปิดเผยบางอย่าง หรือ “ละเว้น” บางอย่าง ขึ้นอยู่กับคำสั่งหรือคำถามที่จะต้องให้รายละเอียดที่ถูกต้องและเหมาะสม ความสามารถในการจัดการข้อมูลจำนวนมาก คัดเลือกเพื่อจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล กรองและนำเสนอข้อมูลได้อย่างเฉพาะเจาะจงจึงเป็นเอกลักษณ์ในการทำงานของ AI ที่จะทำให้การคัดเลือกข้อมูลและการนำเสนอข้อมูลนั้นแตกต่างไปจากเดิม ดังนั้น ยังไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้ว่า คำตอบของ AI มีความเที่ยงธรรม หรืออาจเป็นเพียงแค่คำตอบที่ผู้ใช้อยากฟังเท่านั้น!!.. ซึ่งในกรณีหลัง เราพบประสบการณ์นี้ได้ด้วยตนเอง หากได้ลองใช้ AI ไปสักระยะหนึ่งก็จะได้คำตอบและวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากเสียจนสงสัยว่า AI กำลังทำให้ผู้ใช้งานติดกับดัก confirmative bias หรือการยืนยันความเชื่อหรือความคิดเดิมที่มีอยู่แล้วหรือไม่!?
ตัวอย่างของการใช้ AI ในการทำงานที่น่าสนใจและอาจเป็นเรื่องราวที่สะท้อนว่า AI กำลังทำงานตามอคติของมนุษย์ คือ กระบวนการตัดสินใจคัดเลือกคนเข้าทำงาน
ปัจจุบัน AI ถูกนำมาใช้ในการจัดการทรัพยากรทางด้านบุคคลเพื่อช่วยหัวหน้าตัดสินใจคัดเลือกพนักงงานใหม่ AI ช่วยคัดกรองใบสมัครจำนวนมาก จนเกิดสถานการณ์ที่เป็น “อคติ” โดยเหตุการณืนี้เกิดขึ้นที่บริษัท Amazon ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ AI ในการคัดกรองประวัติของผู้สมัครงานโดยอัตโนมัติ ระบบนี้ถูกฝึกด้วยการศึกษาข้อมูลประวัติและคุณวุฒิของพนักงานเดิมของบริษัทที่เคยสมัครงานในรอบ 10 ปี และพบว่าพนักงานส่วนมากที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้ชาย AI จึงเรียนนำเรื่องเพศ มาเป็นปัจจัยสำคัญในการคัดกรองผู้สมัครจนทำให้ ผู้สมัครที่เป็นเพศหญิงได้คะแนนน้อยกว่าเพศชายอัตโนมัติ โดยเฉพาะผู้สมัครที่จบจากสถาบันสตรีก็จะได้คะแนนน้อยลงไปอีก แม้ว่าจะมีความสามารถไม่ด้อยกว่าเลยผู้สมัครคนอื่น ๆ เลยก็ตาม
เมื่อบริษัท Amazon ค้นพบปัญหานี้ ก็พยายามแก้ไขหลักการประมวลของ AI โดยการสอนการประมวลผลที่จัดการคุณสมบัติบางอย่างออก แต่ก็ไม่รับประกันได้ว่าอคติเหล่านั้นจะหายไป ยังเกิดความผิดพลาดต่อเนื่อง จนต้องระงับการใช้ระบบดังกล่าว และทำให้ทั่วโลกได้เห็นว่า การเรียนรู้ของ AI เสี่ยงสะท้อน “อคติ” ที่แอบแฝงมานานในการแบ่งแยกเพศ แม้ AI จะเห็นข้อมูลดังกล่าวแล้ว แต่ AI ไม่มีฟังก์ชันมากพอที่จะมีความ “ยุติธรรม” และลบอคติจากข้อมูลที่มีได้ ทำให้ AI เลือกที่จะทำตามข้อมูลอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า AI อาจทำงานอย่างมีอคติไม่แตกต่างจากมนุษย์ และอาจนำไปสู่อันตรายได้ คือ การใช้ AI ในระบบสาธารณสุข เมื่อทรัพยากรทางการแพทย์มีอยู่อย่างจำกัด แต่ผู้ป่วยมีจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการจัดลำดับความสำคัญในการเข้ารับการรักษา ปัจจุบัน มีการพัฒนา AI เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยคนไหนควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อสร้างโจทย์นี้ให้ AI ในการคัดกรองผู้ป่วย AI เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอดีต ผลปรากฏว่า คนผิวสีในสหรัฐฯ ได้รับการรักษาน้อยกว่าคนผิวขาว ทำให้ระบบ AI สร้างตัวชี้วัดที่มี สีผิว มาเป็นตัวแปร ที่ทำให้คนผิวสีถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า และถูกจัดอันดับความสำคัญเป็นลำดับท้าย ๆ ในการได้รับสิทธิรักษา …นี่เป็นตัวอย่างจากการที่ AI เรียนรู้ข้อมูลจากในอดีต และไม่สามารถประทวงผลให้ยุติธรรมได้ จนกลายเป็นการทำงานที่สะท้อนอคติจากมนุษย์ และขาดความเป็น “อัจฉริยะ” ตามที่คนทั่วไปคาดหวัง
จากตัวอย่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้เห็นได้ว่า การทำงานของ AI ปัจจุบันจึงยังเสี่ยง จนอาจนำไปสู่อันตรายและปัญหาในสังคมได้ ดังนั้น การนำ AI มาทดแทนการทำงานของมนุษย์จึงยังควรมีขอบเขตที่ชัดเจน มิฉะนั้นการตัดสินใจอาจผิดพลาดได้ หากปักใจว่าจะเชื่อใจ AI มากเกินไป อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกในสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ ซ้ำร้าย…ในอนาคตหาก AI กลายเป็นผู้คัดเลือกและมีอำนาจตัดสินใจแทนมนุษย์ เมื่อนั้นมนุษย์เองกลับอาจต้องเป็นฝ่ายหาคำตอบที่ถูกใจระบบ AI เพื่อให้ได้เป็นผู้ถูกเลือก ท้ายที่สุดนี้ ทั้งมนุษย์และ AI ควรได้เรียนรู้ระบบความคิดและการตัดสินใจที่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลและมนุษยธรรม เพื่อพัฒนาสังคมโลกให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ใช้ AI เพื่อสร้างความสะดวกสบายแต่เพียงอย่างเดียว