เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (Gross Domestic Product-GDP) มูลค่าประมาณ 114 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และทิศทางการเติบโตสามารถสะท้อนผ่านการขับเคลื่อนของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และเยอรมนี หากไม่นับรวมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น สหภาพยุโรป (European Union-EU) เป็นต้น ทั้งสามประเทศมิได้มีเพียงขนาดเศรษฐกิจใหญ่ แต่ยังมีบทบาทที่กำหนดทิศทางของระบบเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
สหรัฐฯ เป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดโลกอย่างกว้างขวาง ขณะที่จีนเป็นเครื่องจักรการผลิตและห่วงโซ่อุปทานสำคัญที่เชื่อมโยงกับประเทศคู่ค้ากว่า 120 ประเทศ โดยมีบทบาทหลักในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และพลังงานสะอาด ส่วนเยอรมนีในฐานะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและหัวใจของสหภาพยุโรปเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจยุโรปและตลาดโลกโดยรวม
การติดตามเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศจึงเสมือนการอ่านแผนที่เศรษฐกิจโลกที่สะท้อนทั้งโอกาส ความเปราะบาง และทิศทางในอนาคต สำหรับไทย การเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวนี้จึงมีความจำเป็น เพื่อป้องกันผลกระทบจากความผันผวนที่อาจกระทบต่อการค้าและการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสามารถวางนโยบายรองรับได้อย่างทันท่วงทีและรักษาความสามารถในการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรอย่างมากต่อสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สร้างต้นทุนให้กับธุรกิจบางกลุ่ม และอาจกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและคลายภาษีนำเข้าในบางหมวดเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ แต่การขึ้นภาษีนำเข้าชั่วคราวได้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งภายในและจากต่างประเทศ
ด้านแรงงาน ในกรกฎาคม 2568 มีการจ้างงานเพิ่มเพียงประมาณ 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าการคาดการณ์ ซึ่งจำนวนงานที่ถูกปรับลดย้อนหลังสองเดือนก่อนหน้ารวมกันมีถึง 258,000 ตำแหน่ง ทำให้อัตราว่างงานยังคงขยับขึ้นเป็น ประมาณ ร้อยละ 4.2 จากมิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ ร้อยละ 4.1 นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเกษตรกรจากการปราบปรามแรงงานต่างด้าวยิ่งตอกย้ำราคาสินค้าเกษตรกรรมให้แพงขึ้น
อย่างไรก็ดี การเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ เมื่อไตรมาส 2 ของปี 2568 ยังขยายตัวที่ร้อยละ 3 สาเหตุหลักมาจากแรงหนุนของการนำเข้าที่ลดลงจากนโยยายขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของผู้นำสหรัฐฯ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น เพื่อเร่งสำรองวัตถุดิบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากผลของการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ต้องเผชิญโจทย์ยากระหว่างการคุมเงินเฟ้อกับการประคองการเติบโต หากไม่สามารถจัดสมดุลระหว่างการเติบโต การจ้างงาน และเสถียรภาพราคาได้ ขณะที่นโยบายการค้าที่ยากคาดเดาจะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและพันธมิตรทางการค้าในระยะยาว
ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวแต่ไม่สม่ำเสมอ โดยครึ่งแรกของปี 2568 มีการเติบโตของ GDP เฉลี่ยราวร้อยละ 5.3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ ปัจจัยหนุนหลักมาจากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศ ทำให้สัดส่วนการเติบโตของ GDP มาจากการบริโภคภายในประเทศมากเกือบร้อยละ 70 นอกจากนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่เร่งตัวในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 เนื่องจากผู้ส่งออกเร่งส่งสินค้าก่อนมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ มีผลเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแรงนี้อาจไม่ยั่งยืน เพราะเป็นการเติบโตแบบชั่วคราว ซึ่งหากแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐยังดำเนินต่อ อาจบั่นทอนภาคส่งออกและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน การแข็งค่าของเงินหยวนในบางช่วงและความพยายามของรัฐบาลจีนในการดึงดูดการลงทุนด้วยมาตรการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ ก็สะท้อนถึงความต้องการสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน
รัฐบาลได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำและการอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน แต่กำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นเต็มที่ การใช้จ่ายในร้านค้าปลีกชะลอตัว และตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังซบเซา ส่งผลให้รายได้และความมั่นใจของผู้บริโภคลดลง นอกจากนี้ ภาคการผลิตต้องเผชิญภาวะอุปทานล้น โรงงานหลายแห่งลดชั่วโมงทำงาน ลดค่าจ้าง หรือจ้างแรงงานชั่วคราวเพื่อลดต้นทุน สอดคล้องกับรายงานของ Reuters ในสิงหาคม 2568 มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.2 ในกรกฎาคม 2568 จากมิถุนายน 2568 ที่ร้อยละ 5
ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐและประเทศตะวันตกยังคงกดดันในเชิงโครงสร้าง เมื่อพิจารณาในภาพรวม จีนกำลังเดินบนเส้นทางที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพการเติบโตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่โมเดลที่พึ่งพาการบริโภคภายในมากขึ้น หากทำสำเร็จจะช่วยประคองเศรษฐกิจโลกให้มีแรงหนุนต่อเนื่อง แต่หากล้มเหลว แรงสั่นสะเทือนจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ
เศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับการฟื้นตัวที่ค่อนข้างเปราะบางและขาดความแน่นอน สัญญาณจากตัวเลขการขยายตัวของ GDP ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตแทบจะหยุดนิ่ง โดยเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เศรษฐกิจหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ซึ่งสะท้อนว่าแรงขับเคลื่อนจากภายในประเทศยังไม่มั่นคง และการฟื้นตัวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น การที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าเยอรมนีก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งหากเกิดการขึ้นภาษีศุลกากรขึ้นจะกระทบภาคการส่งออกของเยอรมนีไปด้วย ทำให้ภาคอุตสาหกรรมยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ การผลิตลดลงอย่างต่อเนื่องและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศหดตัว โดยเฉพาะจากตลาดสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้ฐานการผลิตและการส่งออกของเยอรมนียังคงเปราะบาง ส่วนมีอัตราการว่างงานในปัจจุบันแม้จะอยู่ที่ร้อยละ 6 แต่ขาดแคลนแรงงานทักษะเฉพาะมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่
อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณที่พอสร้างความหวังได้บ้าง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำราวร้อยละ 1.8 ถึงร้อยละ 2.0 ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank – ECB) มีความยืดหยุ่นในการปรับนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ภาครัฐยังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านพลังงานและเทคโนโลยีใหม่ แต่ข้อจำกัดด้านงบประมาณและแรงกดดันทางการเมืองทำให้พื้นที่สำหรับมาตรการกระตุ้น ยังจำกัด ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศและอุปสงค์โลกจึงยังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีในระยะสั้นถึงปานกลาง
สถาบันการเงินระหว่างประเทศยังได้วิเคราะห์เศรษฐกิจของทั้งสามประเทศไว้อย่างน่าสนใจ โดยได้ตีความภาพไปในทิศทางคล้ายกัน โดยรวมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) มองว่าโลกยังมีความยืดหยุ่นแต่เปราะบาง เตือนว่าการฟื้นตัวได้แรงจากการ “front-loading” (การตุน หรือ เร่งส่งสินค้า) ก่อนมาตรการภาษี จึงอาจหดตัวถ้าแรงหนุนนั้นหมด สำหรับ สหรัฐฯ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development-OECD) ชี้ว่าเศรษฐกิจยังแกร่งพอสมควรแต่กำลังชะลอตัว โดยคาดการณ์เติบโตปี 2568 จะอ่อนลงเหลือราวร้อยละ 1.6 และเตือนถึงแรงกดดันจากอัตราภาษี/นโยบายการค้าและเงินเฟ้อที่ยังเหนือเป้าหมาย ซึ่งทำให้ความเสี่ยงด้านการลงทุนสูงขึ้น
สำหรับจีน ทั้ง OECD และ World Bank เห็นว่าช่วงครึ่งปี 2568 ดูดีแต่ฐานยังเปราะ การเติบโตในปี 2568 จะอ่อนลงเมื่อเทียบกับปี 2566 (ปัจจุบันประมาณร้อยละ 4.5 ถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งในปี 2566 GDP เติบโตถึงร้อยละ 5) โดยเน้นว่าปัญหาหลักคือการบริโภคในประเทศยังอ่อน ตลาดอสังหาริมทรัพย์และความไม่แน่นอนด้านการค้าจะกดดันการลงทุนระยะกลาง จึงแนะนำมาตรการกระตุ้นที่มุ่งสร้างกำลังซื้อในประเทศและปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
สุดท้าย เยอรมนี ถูกมองโดย IMF และ OECD ว่า เศรษฐกิจเผชิญการเติบโตที่ชะลอลง IMF ประเมินการเติบโตปี 2568 ใกล้ศูนย์ (ร้อยละ 0.1) ขณะที่ OECD มองว่าจะเป็นการฟื้นตัวแบบอ่อนที่ประมาณร้อยละ 0.4 -1.2 และเน้นให้เร่งการลงทุนเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมและชดเชยความเสี่ยงจากการค้าระหว่างประเทศ
โดยสรุป เศรษฐกิจโลกแม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นตกต่ำอย่างรุนแรงหรือกลายเป็นเศรษฐกิจถดถอย และยังสามารถเติบโตได้ แต่ก็มีความเปราะบางจากความท้าทายหลายประการ ซึ่งแต่ละประเทศต้องเตรียมรับมือให้เท่าทัน ทั้งจากการแข่งขันกันของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งนำไปสู่สงครามการค้าและการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ สิ่งนี้กระทบต่อโดยตรงประเทศทั่วโลกที่ค้าขายกับทั้งสหรัฐฯและจีนมาตลอด ทั้งยังส่งผลทางอ้อมต่อโยงใยการค้าและการเงินระหว่างประเทศที่ล้วนเชื่อมถึงกัน
นอกจากนี้ ยังกระทบต่อการเงิน การใช้จ่ายสินค้า บริการ รวมถึงการลงทุนภายในประเทศที่ส่งสัญญาณถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง มากไปกว่านั้น ปัญหาด้านสภาพสังคม เช่น สังคมสูงวัย แรงงานทักษะเฉพาะเริ่มขาดแคลน ทำให้สถานการณ์ด้านแรงงานในหลายประเทศไม่มีศักยภาพที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ในระยะสั้น เศรษฐกิจโลกยังต้องพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศขนาดใหญ่และนโยบายกระตุ้นการคลัง แต่ในระยะยาว การรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตและเสถียรภาพการเงินจะเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญ ท่ามกลางบริบทโลกที่ไม่แน่นอนและแข่งขันสูงขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2568 การเติบโตของ GDP เมื่อไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ แต่ยังคงต่ำกว่าไตรมาสที่ 1 ที่ร้อยละ 3.2 และมีแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งปีหลัง เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และความต้องการส่งออกที่ลดลง นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 33 ล้านคนในปี 2568 ระบุปีค่า ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 37 ล้านคน เหตุนี้ ความเสี่ยงจากการค้าระหว่างประเทศและปัญหาภายในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องการการปรับตัวอย่างยั่งยืน ดังนั้น ไทยยังคงต้องเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันโดยการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศและสร้างรายได้จากการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ลดการพึ่งพิงจากต่างประเทศที่กำลังผันผวนต่อเนื่อง ปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้ยืดหยุ่น เน้นการพัฒนาธุรกิจขนาดย่อยเพื่อเพิ่มรายได้ในวงกว้าง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต