นายแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อ 26 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับเหตุโจมตีชุมชนชาวยิวหลายครั้งในออสเตรเลียนับตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2566 โดย ASIO และตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย (Australian Federal Police-AFP) ระบุว่า รัฐบาลอิหร่านเป็นผู้สั่งการโจมตีอย่างน้อย 2 ครั้ง ได้แก่ การวางเพลิงร้านอาหาร Lewis’ Continental Kitchen ในนครซิดนีย์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2566 และการวางเพลิงโบสถ์ Adass Israel ในนครเมลเบิร์น เมื่อ 6 ธันวาคม 2567 และมีแนวโน้มจะสั่งการโจมตีอีกในอนาคต
การกระทำดังกล่าวของอิหร่านเป็นการกระทำที่แข็งกร้าวและอันตราย มุ่งเป้าไปที่การสร้างความกลัว ปลุกปั่นความแตกแยกภายใน และทำลายความสามัคคีทางสังคม ซึ่งออสเตรเลียดำเนินการตอบโต้โดย 1) ขับเอกอัครราชทูตอิหร่าน ณ กรุงแคนเบอร์รา พร้อมนักการทูตอีก 3 คน 2) ระงับการดำเนินงานของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ณ กรุงเตหะราน และให้นักการทูตเดินทางไปยังประเทศที่ 3 แล้ว และ 3) รัฐบาลออสเตรเลียจะขึ้นบัญชีกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (Islamic Revolutionary Guard Corps-IRGC) เป็นองค์กรก่อการร้าย
อิหร่านจะดำเนินมาตรการตอบโต้ออสเตรเลีย โดยนายอิสมาอีล บะกอยี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านประณามเมื่อ 26 สิงหาคม 2568 ต่อกรณีที่ออสเตรเลียตัดสินใจขับเอกอัคราชทูตอิหร่าน/กรุงแคนเบอร์รา พร้อมกับสั่งระงับการปฏิบัติงานของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย/กรุงเตหะราน และย้ายนักการทูตออสเตรเลียทั้งหมดในอิหร่านไปยังประเทศที่ 3 พร้อมระบุว่าการกระทำของออสเตรเลียเป็นการดำเนินการทางการทูตที่ไม่เหมาะสมและจะนำไปสู่การออกมาตรการตอบโต้จากอิหร่านซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการตอบโต้
อิหร่านยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของออสเตรเลียที่ระบุว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุโจมตีเพื่อต่อต้านชาวยิว (anti-Semitism) ในออสเตรเลีย 2 เหตุการณ์นั้นไม่มีมูลความจริง และชี้ว่าการตัดสินใจของออสเตรเลียครั้งนี้เป็นความต้องการเบี่ยงเบนประเด็นจากสถานการณ์ในประเทศที่มีการชุมนุมประท้วงในหลายพื้นที่เพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามในกาซา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวของออสเตรเลีย พร้อมระบุถึงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกที่จากอิหร่าน ทั้งนี้ การดำเนินการของสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสำคัญกับการต่อต้านกระแสชาวยิวเป็นอันดับแรก ๆ ทั้งเข้มงวดกับการจำกัดการให้วีซ่านักศึกษาต่างชาติ กวาดล้างผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเพิกถอนวีซ่าทันที ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ประกาศจะเตรียมตรวจสอบประวัติผู้ถือวีซ่ากว่า 55 ล้านราย แบบละเอียด หากพบละเมิดเงื่อนไขการเข้าหรือพำนักในประเทศ จะถูกเพิกถอนวีซ่าทันที รวมทั้งจะตรวจสอบข้อมูลโซเชียลมีเดียด้วย