เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ได้ยินกันมานาน และคู่ ๆ กันมากับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) แต่ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจสีน้ำเงินจะไม่ถูกพูดถึงมากเท่ากับเศรษฐกิจสีเขียว ที่แตกแขนงออกไป เช่น อุตสาหกรรมสีเขียว และสิ่งแวดล้อมสีเขียว เป็นต้น ข้อมูลของกรมประมงระบุว่า เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) หมายถึง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทรัพยากรทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับท้องถิ่นและชุมชน เพื่อให้มีการดำรงชีพและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
ไทยร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเป้าหมายก้าวไปสู่ความยั่งยืน หรือ SDG ของสหประชาชาติ ที่จะทำให้ทำให้เกิดการพัฒนาทางทะเลและชายฝั่งในหลาย ๆ แขนง เช่น ธุรกิจการประมง การพัฒนาชายฝั่ง และการใช้เทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อต้น พฤษภาคม 2568 ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank-ADB) ได้ลงนามกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในข้อตกลงเงินกู้เพื่อความยั่งยืนทางทะเล (Blue Financing) มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในการเพาะเลี้ยงกุ้งในไทย
ธนาคารโลก (World Bank) ยังเผยแพร่รายงาน ชื่อ Thailand’s Blue Economy : Building a Sustainable Ocean Future เมื่อ 1 กันยายน 2568 เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของไทยในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง หรือเศรษฐกิจสีน้ำเงิน รวมถึงแผนการออกพันธบัตรสีน้ำเงิน (Blue Bond) ฉบับแรกของประเทศ เพื่อระดมทุนสำหรับการพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคจากธนาคารโลก
ธนาคารโลกยังได้ร่วมมือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ของกระทรวงการคลัง และร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนากรอบการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล ผ่านกองทุน PROBLUE ของธนาคารโลก เพื่อประเมินศักยภาพการใช้พื้นที่ทางทะเล แก้ไขข้อขัดแย้งด้านการใช้ทรัพยากร และเสริมสร้างความพร้อมของไทยในการใช้ Blue Bond ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนควบคู่การฟื้นฟูป่าชายเลน การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รวมถึงสนับสนุนโครงการเมืองคาร์บอนต่ำ
ไทยกับธนาคารโลกประเทศไทยมีความร่วมมือกันเรื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น เมื่อกลางมิถุนายน 2568 สบน.ร่วมกับธนาคารโลกจัดการจัดการประชุม และให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของไทย เฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวทางทะเล รวมทั้งช่วยเสริมสร้างความพร้อมของไทยในการใช้ Blue Bond เพื่อระดมทุนอย่างยั่งยืน ส่วนเมื่อกลางกรกฎาคม 2568 ก็ได้จัดการประชุมเพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่ยั่งยืนและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อการจัดการพื้นที่ทางทะเลแบบบูรณาการในไทย
การที่ไทยต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน และพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นั้น ก็เพื่อทำให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน เนื่องจากทรัพยากรทางทะเลมีส่วนสำคัญในการช่วยการเติบโตของประเทศ และมีส่วนร่วมไปกับทุกภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยว การผลิตสินค้าทั้งเกี่ยวข้องกับสินค้าประมง อุตสาหกรรมพลังงาน การบริหารจัดการท่าเรือ การจัดการน้ำ และของเสีย การขนส่ง เป็นต้น ซึ่งธนาคารโลกประมาณว่า มีมูลค่าทั้งหมดรวมประมาณร้อยละ 30 ของ GDP ของไทย
ลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทย ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปกป้องพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งชายฝั่งอันดามัน อ่าวไทย และทางตอนเหนือของช่องแคบมะละกาอีกด้วย ไทยมีจังหวัดที่ติดชายฝั่งทะเลถึง 23 จังหวัด ความยาวชายฝั่งรวม 3,148 กิโลเมตร นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังจัดความสำคัญต่อเศรษฐกิจสีน้ำเงินของไทยไว้ ได้แก่ การท่องเที่ยวชายฝั่งและทางทะเลซึ่งเป็นรายได้หลักของการท่องเที่ยว การรับมือที่ยืดหยุ่นทางชายฝั่งที่ยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการบริการจัดการน้ำเสีย ซึ่งไทยสามารถรับมือได้ แต่จะเผชิญกับสิ่งท้าทายมากขึ้น