กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อ 29 กันยายน 2568 เผยแพร่รายงานสถานการณ์ค้ามนุษย์ประจำปี 2568 หรือ TIP Report 2025 เพื่อประเมินสถานการณ์ค้ามนุษย์ทั่วโลก หรือใน 185 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐ และไทย เมื่อปี 2567 ตลอดจนมีการจัดกลุ่มประเทศต่าง ๆ ที่มีความพยายามแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ ทบทวนและเพิ่มงบประมาณให้หน่วยงานของสหรัฐฯ ขยายความร่วมมือในการป้องกันอาชญากรรมดังกล่าว รวมทั้งปกป้องเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งสหรัฐฯ มีมุมมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงมนุษย์ที่สำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เป็นค่านิยมหลักของชาวอเมริกันแล้ว การค้ามนุษย์ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านอื่น ๆ ของสังคม
ประเด็นที่น่าสนใจจากรายงานค้ามนุษย์ในปีนี้ นอกจากเนื้อหาสาระสำคัญ ก็คือ ห้วงเวลาการเผยแพร่ที่ล่าช้ากว่าปกติ หรือในห้วง มิถุนายน 2568 ตามที่รัฐบัญญัติสหรัฐฯ กำหนดไว้ แต่ในปี 2568 นี้ มีรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผชิญการปรับลดงบประมาณด้านการดำเนินงานเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในต่างประเทศ ทำให้กระบวนการรวบรวมข้อมูลล่าช้า ตลอดจนไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์การเผยพร่รายงานดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แตกต่างจากหลายปีที่ผ่านมาที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการแถลงรายงานดังกล่าว และใช้โอกาสการเผยแพร่รายงานฉบับนี้เพื่อทำให้นานาชาติเห็นว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ครั้งนี้ อาจทำให้ความสำคัญของรายงาน TIP Report ลดน้อยลงไป และอาจเป็นเครื่องมือที่ไม่ทรงพลังในการกดดันต่างประเทศให้ดำเนินนโยบายตามเป้าหมายของสหรัฐฯ เหมือนที่ผ่านมา ที่นำไปเชื่อมโยงกับประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพราะผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เน้นใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ กดดันประเทศอื่น ๆ มากกว่าเรื่องสิทธิมนุษยชน …แต่สหรัฐฯ ไม่เคยละทิ้งเรื่องการค้ามนุษย์ เป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นบุคคลที่คาดการณ์ยาก ดังนั้น ผู้นำสหรัฐฯ อาจเลือกใช้ประโยชน์จากข้อมูลในรายงาน TIP Report ฉบับนี้ในอนาคตได้ หากเห็นว่าข้อมูลจาก TIP Report จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันได้ตามนโยบาย America First
TIP Report ฉบับนี้จึงอาจเป็นเหมือนคลังข้อมูลประเภทไม้ตายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะเลือกหยิบมาใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต ดังนั้น การศึกษาเนื้อหารายงานดังกล่าวยังมีความสำคัญเพื่อที่จะเข้าใจมุมมองของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อไป ซึ่งเนื้อหาในรายงานดังกล่าวมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อไทยด้วย เพราะว่าสหรัฐฯ จัดไทยอยู่ในกลุ่ม Tier 2 เช่นเดียวกันกับเมื่อปี 2566 และปี 2567 หรือยังคงเป็นประเทศที่ประเทศที่มีความพยายามในการปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำว่าด้วยการคุ้มครองเหยื่อจากการค้ามนุษย์และแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ประเทศที่สหรัฐฯ จัดอยู่ในกลุ่ม Tier 2 จะไม่เสี่ยงเผชิญมาตรการกดดันหรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แตกต่างจากกลุ่ม Tier 3 ที่มีมาตรฐานต่ำสุด อย่างกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว ที่อาจเผชิญมาตรการกดดันจากสหรัฐฯ มากขึ้นทั้งการเมืองและการค้า
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ในกล่ม Tier 2 เช่นเดียวกับไทย ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และติมอร์เลสเต ส่วนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้อยู่ใน Tier 1 หรือระดับเดียวกันกับสหรัฐฯ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ขณะที่บรูไนอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List ซึ่งเสี่ยงตกไปอยู่ในกลุ่ม Tier 3 หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม หรือการดำเนินการตามข้อเสนอของสหรัฐฯ
ไทยเคยอยู่ในกลุ่ม Tier 3 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายและการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น จากนั้นไทยก็ได้รับการปรับให้อยู่ในกลุ่มที่ดีขึ้นมาโดยตลอด เพราะมีความร่วมมือกับสหรัฐฯ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการดำเนินคดีและการปกป้องคุ้มครองเหยื่อ ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญที่สหรัฐฯ ใช้ในการพิจารณาจัดกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
สำหรับในรายงานปี 2568 สหรัฐฯ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับไทยที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2567 เรื่องความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อปราบปรามและแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน ประเด็นที่ไทยได้รับการชื่นชมจากรายงานดังกล่าว คือ การตั้งศูนย์คัดกรองและคุ้มครอบเหยื่อจากการค้ามนุษย์อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีอุปสรรคด้านการจัดการตามกฎหมายและคอร์รัปชัน ดังนั้น สหรัฐฯ จึงเสนอแนะไทยให้สืบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และนำผู้กระทำผิดไปลงโทษอย่างจริงจังตามกฎหมาย ให้ความสำคัญกับการคัดกรองเหยื่อจากอาชญากรรมออนไลน์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสำคัญกับการเยียวยาจิตใจเหยื่อค้ามนุษย์ และให้ร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนมากขึ้น
ประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ในไทย นอกจากเหยื่อจากอาชญากรรมออนไลน์บริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน คือ กลุ่มแรงงานประมงที่ถูกบังคับใช้แรงงาน และการใช้แรงงานเด็ก และจากการศึกษารายงานดังกล่าว มีข้อสังเกตว่าปัจจุบัน สหรัฐฯ เองกำลังให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเพศต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน เพราะเป็นความท้าทายสำคัญต่อภาพลักษณ์ความมั่นคงทางสังคมในสหรัฐฯ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ค่อนข้างให้น้ำหนักมากกับการแนะนำไทยให้เสรีภาพในการแสดงออกต่อเหยื่อค้ามนุษย์ การคุ้มครองสิทธิเหยื่อและทำให้สังคมตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาค้ามนุษย์และการป้องกัน
ไทยจะไม่ทำตามข้อเสนอของสหรัฐฯ ในรายงาน TIP Report ก็ได้ เนื่องจากรายงานดังกล่าวเป็นมุมมองของสหรัฐฯ ฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม หากไทยมีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด ปกป้องเหยื่อ และป้องกันการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบและรายงานได้ โดยที่ทุกภาคส่วนร่วมมือกันเฝ้าระวังและตรวจสอบไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรสิทธิให้สามารถดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดได้รวดเร็วขึ้น ก็น่าจะเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างความมั่นคงและลดอาชญากรรมในระยะยาว ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือพื้นที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวได้อีกต่อไป