อินเดียและภูฏานจะมีเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างกันเป็นสายแรก จำนวน 2 เส้นทาง ระยะทางยาว 89 กิโลเมตร สายแรกที่รัฐอัสสัม และสายที่ 2 ที่รัฐเบงกอลตะวันตก การสร้างรถไฟ 2 เส้นทางนี้ ทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเดินทาง การท่องเที่ยว และการติดต่อระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ แต่นัยในเชิงยุทธศาสตร์ภูฏานก็ต้องการรักษาดุลอำนาจกับอินเดียในช่วงที่อิทธิพลจีนเริ่มเข้ามาในประเทศมากขึ้น ขณะที่อินเดียก็ต้องการรักษาเขตอิทธิพลของตนในเอเชียใต้
โครงการก่อสร้างทางรถไฟอินเดีย-ภูฏาน ริเริ่มมานาน แต่เพิ่งจะบรรลุผลเมื่อนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ลงนามในข้อตกลงในโอกาสเยือนภูฏาน เมื่อปี 2567 และเมื่อ 29 กันยายน 2568 ผู้บริหารของคณะกรรมการรถไฟแห่งชาติอินเดียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภูฏานได้ลงนามแผนก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายแรกที่เชื่อมระหว่างเมืองโกกราจาร์ (Kokrajhar) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย กับเมืองเกเลพู (Gelephu) ของภูฏาน ส่วนสายที่ 2 ระหว่างจะเชื่อมระหว่างเมือง Banarhat ของอินเดีย กับเมือง Samtse ของภูฏาน อินเดียจะเร่งรัดให้มีการดำเนินการสร้าง และเป็นฝ่ายจ่ายเงินก่อสร้างทั้งสองเส้นทาง ซึ่งเส้นทางรถไฟจะเป็นระบบไฟฟ้า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในเส้นทางรถไฟสายแรก มีความยาว 69 กิโลเมตร อยู่ฝั่งภูฏาน 2.39 กิโลเมตร มีทั้งหมด 6 สถานี จะใช้เงินก่อสร้างจำนวน 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีสะพานขนาดใหญ่ 2 สะพาน และขนาดกลางและเล็กอีกเกือบ 100 สะพาน มีถนนข้ามสะพาน และถนนใต้สะพาน เป็นต้น หากเป็นไปตามกำหนดในการก่อสร้าง ทางรถไฟสายแรกจะเสร็จภายใน 4 ปี (ปี 2572) ส่วนเส้นทางรถไฟเส้นที่ 2 จะเชื่อมระหว่างเมือง Banarhat ในแบงกอลตะวันตก (ฝั่งตะวันออกของอินเดีย) กับเมือง Samtse ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูฏาน ระยะทางยาว 20 กิโลเมตร มี 2 สถานี มูลค่าการก่อสร้าง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะเสร็จทัน ภายใน 3 ปี
เส้นทางรถไฟ 2 เส้นทางนี้ จะช่วยการส่งออกของภูฏาน เนื่องจากทั้งเมืองเกเลพู และ เมือง Samtse เป็นเมืองที่นำเข้า-ส่งออกสินค้า ที่ส่วนใหญ่ส่งออก-นำเข้าจากท่าเรือทางอินเดีย นอกจากนี้ ภูฏานกำลังพัฒนาเมือง Samtse เป็นเมืองอุตสาหกรรม ขณะที่เมือง Gelephu ที่เป็น Smart City หรือ Gelephu Mindfulness City จะเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และการท่องเที่ยว เพิ่มมากขึ้น
ภูฏานมีอินเดียเป็นคู่ค้าอันดับ 1 การเชื่อมเส้นทางรถไฟไปอินเดียจึงเป็นประโยชน์มากต่อภูฏานที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ ของภูฏานในอนาคต เช่นกัน ทั้งนี้ อินเดียยังเป็นประเทศให้ความช่วยเหลือรายใหญ่ที่สุดต่อภูฏาน และมีส่วนสำคัญให้ภูฏานทันสมัยมากขึ้น ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ตามแผนพัฒนาประเทศ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (2567-2572) ของภูฏาน
อินเดียจะได้ประโยชน์จากการที่โครงข่ายรถไฟของภูฏานจะเชื่อมต่อกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ในอนาคตเช่นกัน เนื่องจากจะทำให้อินเดียคงอิทธิพลต่อการเชื่อมต่อโครงข่ายในภูมิภาค อินเดียก็ใช้ภูฎานและประเทศในเอเชียใต้คานอิทธิพลกับจีนที่กำลังรุกคืบเข้ามา โครงการนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ภูฏานจะมีเส้นทางรถไฟเชื่อมโดยตรงกับระบบเครือข่ายของอินเดีย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการค้า การพัฒนา การท่องเที่ยว และการคมนาคม รวมทั้งความเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม และประชาชน-ประชาชน รวมทั้งความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ที่จีนพยายามมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นต่อภูฏาน