ระบบราง (railway system) ถือเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลกอย่างสิ้นเชิง โดยเริ่มต้นในประเทศอังกฤษเมื่อปี 2368 ซึ่งมีการเดินรถไฟสายสต็อกตัน-ดาร์ลิงตัน (Stockton–Darlington) เป็นสายแรกของโลก ในสมัยนั้นรถไฟดังกล่าวขับเคลื่อนด้วยหัวรถจักรไอน้ำ หลังจากกนั้น รถไฟได้กลายมาเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกนับแต่นั้นมา แม้ว่าปัจจุบันจะมีวิธีการเดินทางและสัญจรที่สะดวกและเข้าถึงง่ายมากขึ้น เช่น เครื่องบินและรถยนต์ แต่รถไฟยังคงเป็นระบบขนส่งที่ไม่เคยถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังได้รับพัฒนาอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ สาเหตุเป็นเพราะรถไฟไม่ใช่แค่ระบบการขนส่งคนไปสู่เป้าหมาย แต่เส้นทางตามระบบรางได้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ เชื่อมกิจกรรมของประชาชน รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดในการก่อสร้างเมือง (urbanization) ให้เกิดขึ้นได้
ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบรางอย่างมากแห่งหนึ่งของโลก คือ ญี่ปุ่น ซึ่งได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นว่า การขนส่งระบบรางที่มีประสิทธิภาพสามารถเป็นปัจจัยสำคัญต่อพัฒนาประเทศได้ แม้ญี่ปุ่นเริ่มใช้รถไฟเมื่อปี 2415 แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทำให้โครงการสร้างระบบรางรถไฟเชื่อมเกาะญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลีใต้ไม่ประสบความสำเร็จและล้มเลิกไป แต่แนวคิดดังกล่าวไม่ได้หายไป ชาวญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญกับการค้นคว้าเทคโนโลยีระบบรางรถไฟ โดยมุ่งเน้นทางด้านการขนส่งพลเรือนมากกว่าเพื่อใช้ประโยชน์ในการทหาร เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลญี่ปุ่นกลับไปให้ความสนใจการพัฒนาภายในประเทศมากกว่าการขยายอาณาเขต จนในที่สุด ญี่ปุ่นได้สร้างระบบรางที่แข็งแกร่งและเทคโนโลยีรถไฟที่ก้าวหน้า หรือ “ชินคันเซ็น” รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงสายแรกของโลกเมื่อปี 2507 ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองโตเกียวและเมืองโอซากา 2 เมืองใหญ่ รถไฟชินคันเซ็นของญี่ปุ่นทำความเร็วได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจาก 8 ชั่วโมงเหลือเพียง 2-3 ชั่วโมง และการเชื่อมต่อ 2 เมืองนี้ทำให้ญี่ปุ่นฟื้นฟูทางเศรษฐกิจหลังจากสงครามได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รถไฟชินคันเซ็นยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาของญี่ปุ่น ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในต่างประเทศ จนทำให้รถไฟชินคันเซ็นเป็น “มาสคอท” ที่น่าจดจำ และเป็นเสมือน soft power อีกอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าใคร ๆ ก็สนใจและอยากลองนั่งรถไฟชินคันเซ็นนี้ เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและการพัฒนาระบบราง
ความโดดเด่นของรถไฟความเร็วสูงในญี่ปุ่นที่กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศนั้นมาจากความตั้งใจของรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์การพัฒนาระบบรางที่ต้องได้รับผลลัพธ์มากกว่าการคมนาคมขนส่งในประเทศ ญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่ “ทันสมัย” และ “หลากหลาย” รวมทั้ง “มีความสวยงาม” สะท้อนถึงความใส่ใจและความละเอียดอ่อนในการออกแบบรถไฟหัวกระสุนเพื่อทำความเร็วควบคู่กับความปลอดภัย โดยมีเบื้องหลังคือรูปแบบการบริหารรถไฟความเร็วสูงทั้ง 9 สาย หลังจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในปี 2530 ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนการให้บริการขนส่งระบบรางจากภาครัฐสู่เอกชน (privatization) โดยแบ่งเขตการบริหารระบบรางในแต่ละภูมิภาค ทำให้เกิดบริษัทเดินรถไฟมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันที่จะพัฒนาบริการระบบรางและรถไฟในด้านความเร็ว ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ระบบการเดินทางและราคา ไปจนถึงการออกแบบหัวรถจักรทั้งภายนอกและภายใน เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางให้กับผู้โดยสาร ในปัจจุบัน รถไฟบางขบวนไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางรวดเร็วที่สุด แต่มอบประสบการณ์การบริการ ความหรูหราและความสะดวกสบายตลอดเส้นทาง ให้เป็นจุดเด่นสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญและทำให้การเดินทางด้วยชินคันเซ็น เปรียบเสมือนอีกหนึ่งวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ทุกคนต้องไปสัมผัส
สรุปว่า “รถไฟชินคันเซ็น” และระบบรางที่มีประสิทธิภาพของญี่ปุ่น สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีการขนส่งระบบราง รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักเดินทางด้วย เพราะญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพสูงไว้เสมอ ทั่วโลกจึงไว้วางใจและทำให้ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับหลายประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน และไทย ซึ่งในกรณีของไทย มีความร่วมมือกับองค์กรที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง JICA หรือ JR East International เพื่อศึกษาการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงภายในไทย เชื่อมโยงระบบรางสายเหนือและเส้นทางเชื่อมต่อ 3 สนามบิน
อีกหนึ่งประเทศที่มีการพัฒนาระบบราง รถไฟ และส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าวไปทั่วโลก คือ จีน โดยรัฐบาลจีนยังคงเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการระบบรางและรถไฟทั่วประเทศ ด้วยความที่สภาพภูมิศาสตร์ของจีนเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีเนื้อที่กว้างขวางและมีสภาพภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ระบบรางจึงเป็นวิธีการคมนาคมที่ประหยัดและปลอดภัยสำหรับชาวจีน รัฐบาลจีนเชื่อว่าการขยายเส้นทางระบบรางและรถไฟเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในประเทศ เพราะ “รถไฟ” เชื่อมโยงกับการบริหารจัดการของรัฐบาล และสะท้อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาวจีน ทั้งนี้ แม้ว่าจุดเริ่มต้นระบบรางในจีนจะมาจากประเทศเจ้าอาณานิยมอย่างอังกฤษ และญี่ปุ่น ประเทศจีนเผชิญความท้าทายในการพัฒนาและเชื่อมต่อระบบรางรถไฟหลายครั้งในประวัติศาสตร์ เพราะเผชิญสงคราม แต่ในที่สุด ประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง ก็ได้พลิกโฉมหน้าการบริหารจัดการรางรถไฟในประเทศให้เป็นของรัฐบาลจีน โดยเน้นใช้ประโยชน์ด้านการคนมนาคม ขนส่งสินค้า และการทหาร ซึ่งระบบรางและรถไฟก็มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของจีนอย่างมาก เพราะรัฐบาลจีนใช้ระบบรางและรถไฟเป็นสัญลักษณ์ของความเร็ว การพัฒนาเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความทันสมัย และความทุ่มเทที่รัฐบาลมอบให้กับประชาชน
มีข้อสังเกตว่าทั้งญี่ปุ่นและจีน ต่างใช้ระบบรางและรถไฟเพื่อสัญลักษณ์ทางการเมืองและมีผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทั้งต่อประชาชนในประเทศตัวเอง และในต่างประเทศ
สำหรับไทยมีความร่วมมือกับจีนในการพัฒนาระบบรางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อผ่าน สปป.ลาวไปที่จีนด้วย นับว่าเป็นเส้นทางในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) โดยไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางของเส้นทางเชื่อมต่อระบบรางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจีน ซึ่งครอบครองวิทยาการรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลกในขณะนี้ (350 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการก่อสร้างและมีรัฐบาลไทยเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด
ไทยมีโอกาสพัฒนาระบบรางและรถไฟในประเทศ จากความร่วมมือกับญี่ปุ่นและจีน ดังนั้น อนาคตของการขนส่งระบบรางของไทยกำลังจะพัฒนาเป็นอย่างมาก ย้อนไปตั้งแต่อิทธิพลของประเทศยุโรปในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ที่ไทยเริ่มมีรถไฟ แต่ในปัจจุบันไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุครถไฟความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีจากกลุ่มประเทศในเอเชีย คือ ญี่ปุ่นและจีน ในบริบทสภาพแวดล้อมภูมิรัฐศาสตร์โลกที่แตกต่างจากเดิม ดังนั้น ระบบรางที่ทันสมัยจะช่วยพัฒนาประเทศเกษตรกรรมให้มีบทบาทเพิ่มในฐานะศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาค และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในประเทศที่ต้องการเดินทาง รวมทั้งค้าขายมากขึ้น เป็นโอกาสในการกระจายความเจริญในหลายภูมิภาค เหมือนที่ญี่ปุ่นใช้รถไฟความเร็วสูงในการทำให้ประเทศจากที่พ่ายแพ้สงครามฟื้นตัวและกลับไปยืนบนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม ในฐานะประเทศที่มีเทคโนโลยีและต้นแบบของการพัฒนา… สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของไทยด้านการพัฒนาระบบรางเป็นอย่างไร มีความท้าทายและโอกาสสำหรับประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างไรบ้าง ฝากติดตามกันต่อได้ในบทความต่อไป