นานาชาติมีความคืบหน้าในการผลักดันความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและสันติภาพในฉนวนกาซา และการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการลดความขัดแย้งและระงับการปะทะทางการทหารที่จะส่งผลเสียต่อข้อตกลงหยุดยิง โดยความคืบหน้านี้ มีสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ล่าสุดเมื่อ 14 ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พบหารือกับผู้นำอิสราเอล รวมทั้งเยือนอียิปต์เพื่อประชุมสุดยอดเกี่ยวกับสถานการณ์ในฉนวนกาซา จากนั้นลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ร่วมกับผู้นำกาตาร์ อียิปต์ และตุรกี เพื่อส่งสัญญาณให้ทั่วโลกและคู่ขัดแย้งเข้าใจว่าสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญและค้ำประกันข้อตกลงหยุดยิงนี้ เพื่อให้เกิดสันติภาพในระยะยาว
ด้านคู่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ได้ให้ความร่วมมือดำเนินการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษระหว่างกัน โดยมีรายงานว่าอิสราเอลปล่อยตัวชาวปาเลสไตน์จำนวนเกือบ 2,000 คนให้เดินทางกลับภูมิลำเนาในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ ขณะที่ เมื่อ 13 ตุลาคม 2568 กลุ่มฮะมาสปล่อยตัวประกันจำนวน 20 คน ที่เคยควบคุมตัวไว้ในฉนวนกาซาให้เดินทางกลับอิสราเอล รวมทั้งผู้เสียชีวิต อีก 4 ร่าง ด้วยเช่นกัน โดยมีองค์กร International Committee of the Red Cross หริอ ICRC เป็นผู้ดำเนินการ สถานการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นและขั้นตอนสำคัญต่อการลดระดับความขัดแย้งในพื้นที่ ซึ่งเผชิญสงครามมาตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2566 คาดว่าในครั้งต่อไป กลุ่มฮะมาสจะเร่งส่งร่างตัวประกันจำนวน 24-28 ราย ที่เสียชีวิตแล้วให้ครอบครัวในอิสราเอล ซึ่งอาจมีตัวประกันไทยจำนวน 2 ราย
แม้ว่าจะมีความคืบหน้าสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงชุดแรกของข้อตกลง ประกอบกับผู้เชี่ยวชาญยังมีมุมมองว่าการสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ยังมีประเด็นท้าทายหลายประการ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษระหว่างกันนี้ ยังเป็นส่วนแรกของแผนการ 20 ข้อที่ผู้นำสหรัฐฯ เสนอเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมการถอนกำลังทหารของอิสราเอลทั้งหมดออกจากพื้นที่ การหารือเรื่องแนวโน้มการปกครองในฉนวนกาซา และท่าทีของกลุ่มฮะมาส ซึ่งปัจจุบันยังคงควบคุมความมั่นคงในฉนวนกาซาอยู่ เพราะวิตกว่าจะมีกองกำลังชาติพันธุ์อื่น ๆ แสวงประโยชน์ในช่วงที่กลุ่มฮะมาสวางอาวุธและยุติการปะทะกับกองทัพอิสราเอล
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งท้าทายที่เกิดจากที่อิสราเอลยังไม่ยอมรับแนวทางสองรัฐ (two state solution) ที่นานาชาติเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างสันติภาพในระยะยาว รวมทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงที่กองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮะมาสจะปะทะกันอีกครั้งหลังเสร็จสิ้นกระบวนการแลกเปลี่ยนนักโทษและตัวประกัน เนื่องจากผู้นำอิสราเอลยังไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่จะปราบปรามกลุ่มฮะมาสให้เด็ดขาด รวมทั้งทำลายขีดความสามารถของกลุ่มฮะมาสไม่ให้กลายเป็นภัยคุกคามอิสราเอลได้อีก
ดังนั้น ความเคลื่อนไหวที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด คือ ท่าทีของกลุ่มฮะมาสที่ปัจจุบันระดมกำลังพลและกลับไปครอบครองพื้นที่ในฉนวนกาซา ความคืบหน้าของกองทัพอิสราเอลในการถอนกำลังทหารออกจากฉนวนกาซา และความจริงจังของนานาชาติที่จะตั้งกองกำลังพิเศษเพื่อควบคุมสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ ตลอดจนการสนับสนุนกลไกทางการเมืองเพื่อบริหารการเมืองของชาวปาเลสไตน์ แต่ในชั้นนี้ ฝ่ายที่ได้ประโยชน์สูงสุด น่าจะเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ที่ได้ภาพลักษณ์การผลักดันให้มีความคืบหน้าในการปล่อยตัวประกัน