ในห้วงปลาย ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมสำคัญในภูมิภาคเอเชียอย่างน้อย 3 การประชุม ซึ่งไทยควรติดตามประเด็นหารือและผลลัพธ์การประชุมอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะเป็นการประชุมกลุ่มความร่วมมือระดับภูมิภาค และการประชุมครั้งสำคัญทางการเมืองและนโบายของจีน ที่เป็นมหาอำนาจของภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวที่มาเลเซียพยายามผลักดันให้ไทยและกัมพูชามีการลงนามในสันติภาพในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้าร่วมการประชุมกับอาเซียน รวมทั้งประธานาธิบดีทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีนที่เกาหลีใต้ด้วย
การประชุมแรก คือ การประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่าง 20-23 ตุลาคม 2568 ที่กรุงปักกิ่ง เป็นการประชุมใหญ่สมัยที่ 4 มีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน มีการทบทวนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน ฉบับที่ 15 ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารสำคัญระดับชาติที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ ทั้งด้านการพัฒนา เศรษฐกิจ ความมั่นคง และความร่วมมือกับต่างประเทศ ในอีกระยะ 5 ปีข้างหน้า ดังนั้น การประชุมนี้ แม้จะไม่มีการเชิญประเทศอื่นเข้าร่วม แต่การที่จีน…มหาอำนาจขนาดใหญ่กำลังทบทวนและกำหนดแนวทางดำเนินนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และบทบาทจีนในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลก และพลังงานทางเลือก เนื่องจากทั้ง 2 อุตสาหกรรมอาจทำให้จีนก้าวเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในอนาคต
ประชุมถัดไป คือ การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย ระหว่าง 26-28 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและต้อนรับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา ที่จะไปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเพื่อกำหนดแนวทางร่วมมือกันในประเด็นสำคัญเพื่อส่งเสริมความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เข้มแข็งต่อไป สำหรับการประชุมในปี 2568 นี้มีการกำหนดธีมหรือหัวข้อหลักในการหารือร่วมกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ได้แก่ “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน (Inclusivity and Sustainability)”
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการประชุมอาเซียนในปีนี้จะมีประเด็นอื่น ๆ ที่นานาชาติ รวมทั้งไทย จะให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะการประชุมครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ด้านความมั่นคงของภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงไป อาเซียนเผชิญคำถามว่าจะยังมีเอกภาพและประสิทธิภาพมากพอในฐานะ “แกนกลางของภูมิภาค” หรือไม่? …และยังมีความท้าทายหลายประเด็นที่อาเซียนอาจจำเป็นต้องกำหนดท่าทีและแนวปฏิบัติร่วมกัน (collective action) ให้ชัดเจนเพื่อให้ทั่วโลกเห็นว่า อาเซียนยังคงเป็นกลไกที่เข้มแข็ง มีเอกภาพและสามารถแก้ไขความท้าทายในภูมิภาคได้ ขณะเดียวกันก็พร้อมจะร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามระดับนานาชาติ
สำหรับประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ 1) ท่าทีของอาเซียนต่อสถานการณ์ในภูมิภาค เช่น เมียนมา และเหตุการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ในกัมพูชาที่ทั่วโลก โดยเฉพาะมหาอำนาจ กำลังให้ความสนใจ 2) ท่าทีของอาเซียนต่อสถานการณ์สำคัญด้านความมั่นคงในระดับโลก เช่น ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ สงครามในตะวันออกกลางและยูเครน การส่งเสริมความมั่นคงทางทะเล การรับมือกับเทคโนโลยีที่มีบทบาทในความร่วมมือและความชัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้น และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจที่จะเข้มข้นขึ้น 3) แนวทางการพัฒนากลไกของอาเซียนให้ยังคงเข้มแข็งและเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศคู่เจรจา และ 4) ท่าทีของประทศสมาชิกต่าง ๆ ที่จะแสดงบทบาทนำในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องการประสานงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นธีมหลักของการประชุมนี้ เพราะอาเซียน คือ เวทีที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้แสดงบทบาทสำคัญ และการประชุมปี 2568 นี้ จะเป็นปีสำคัญเพราะจะมีติมอร์-เลสเต เข้าร่วมประชุมในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วย
ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ยังน่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะประธานิบดีทรัมป์ จะเข้าร่วมประชุมกับประเทศสมาชิกอาเซียนด้วย ในฐานะประเทศคู่เจรจา ส่วนการที่จะเป็นพยายลงนามในข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ตามที่มาเลเซียได้เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ ยังไม่มีการยืนยันจากทางทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ
การประชุมลำดับสุดท้ายของเดือนตุลาคม 2568 คือ การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือเอเปค (APEC Summit) ประจำปี 2568 ที่เมืองคยองจู เกาหลีใต้ ระหว่าง 31 ตุลาคม- 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อภูมิภาค เพราะเป็นการประชุมที่มีผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วม ตลอดจนผู้แทนจากไทยด้วย ซึ่งไทยเตรียมความพร้อมจะลงมติในเอกสาร 5 ฉบับ ที่เป็นถ้อยแถลงร่วม และร่างข้อริเริ่มความร่วมมือสำคัญของกลุ่ม ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ การรับมือกับสภาวะโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลง และการลงทุนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ และการลงนามในเอกสารทั้ง 5 ฉบับนี่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับสมาชิกเอเปคที่มีอยู่ 21 ประเทศและเขตเศรษฐกิจ จึงควรติดตามผลการประชุมอย่างใกล้ชิด
ไฮไลท์ในช่วงตุลาคม 2568 นอกจากเป็นการประชุม 3 การประชุมข้างต้นแล้ว การที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน ที่เกาหลีใต้ ยังน่าติดตามว่าจะมีทางออกของความขัดแย้ง หรือตอบโต้กันไปมาในประเด็นเศรษฐกิจหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงการปูทางไปสู่การเยือนจีนของประธานาธิบดีทรัมป์ในปี 2569