![]()
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อ 25 ตุลาคม 2568 ยืนยันว่าสหรัฐฯ ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Gerald R. Ford ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุด พร้อมกองเรือพิฆาต ไปประจำการในน่านน้ำภูมิภาคอเมริกาใต้ เพื่อค้ำประกันความมั่นคงของประเทศ และเสริมศักยภาพทางการทหารให้กองบัญชาการภาคพื้นทวีปใต้ของสหรัฐฯ มีความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และสกัดกั้นภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ โจมตีเรือในแถทบทะเลแคริเบียนและน่านน้ำภูมิภาคอเมริกาใต้หลายครั้ง เพื่อปราบปรามกลุ่มลักลอบค้ายาเสพติด
มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า สหรัฐฯ ได้ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52s โจมตีเรือสัญชาติเวเนซุเอลา 10 ครั้ง มีรายงานผู้เสียชีวิต 43 คน โดยอ้างว่าเรือดังกล่าวบรรทุกยาเสพติดเป็นของกลุ่ม Tren de Aragua เครือข่ายยาเสพติดที่สหรัฐฯ กำหนดให้เป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่สหรัฐฯ ยังไม่เคยเผยแพร่หลักฐาน และยังกลายเป็นประเด็นวิจารณ์ทางกฎหมาย เนื่องจากปฏิบัติการของสหรัฐฯ อาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวทางการทหารของสหรัฐฯ ทำให้บรรยากาศความมั่นคงในทะเลแคริเบียนและภูมิภาคอเมริกาใต้ตึงเครียดขึ้น เพราะเวเนซุเอลามีมุมมองว่าสหรัฐฯ เตรียมทำสงคราม นอกจากนี้ สหรัฐฯ อาจต้องการแทรกแซงสถานการณ์ภายในของเวเนซุเอลา เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่พอใจบทบาทของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ที่เป็นผู้นำเผด็จการและเป็นหัวหน้าองค์กรยาเสพติดระดับโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงไม่เคยยอมรับรัฐบาลเวเนซุเอลา และพยายามโค้นล้มอำนาจทางการเมืองด้วยการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด ควบคู่กับสร้างความหวาดกลัวและข่มขู่ประชาชน นักการเมือง รวมทั้งกองทัพเวเนซุเอลาให้ยุติการสนับสนุนประธานาธิบดี Maduro
เป้าหมายของสหรัฐฯ ครั้งนี้ นอกจากการกดดันเวเนซุเอลาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานการณ์การเมืองในภูมิภาคอเมริกาใต้ยังเชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังส่งสัญญาณให้ประเทศในอเมริกาใต้เห็นสหรัฐฯ มีอิทธิพลและมีขีดความสามารถทางการทหารสูงที่สุดในโลก และจะให้ความสำคัญกับภูมิภาคอเมริกาใต้ ซึ่งนับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯ ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา จีนเข้าไปเพิ่มความร่วมมือและการลงทุนด้านเศรษฐกิจในอเมริกาใต้เพิ่มขึ้น จนอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศในอเมริกาใต้มีความสัมพันธ์ห่างเหินกับสหรัฐฯ
สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ลุกลามบานปลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ เนื่องจากเวเนซุเอลายังไม่ใช้ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้สหรัฐฯ แต่เริ่มใช้วิธีการทูตและแถลงการณ์อย่างเป็นทางการทำให้ทั่วโลกเห็นว่าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายยั่วยุทางการทหารก่อน และสร้างความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง ล่าสุดเมื่อ 26 ตุลาคม 2568 ประธานาธิบดีมาดูโรมีถ้อยแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ โดยยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด และโจมตีสหรัฐฯ ว่ากำลังเริ่มสงคราม เพราะการที่สหรัฐฯ ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินมาในภูมิภาคเท่ากับเพิ่มจำนวนอาวุธที่พร้อมโจมตีประเทศอื่น ๆ ทั้งทางทะเลและทางบก คาดว่าเป็นวิธีการเรียกร้องให้นานาชาติสนใจติดตามความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในอเมริกาใต้ ทั้งการทหารและการส่งเจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลาง หรือ CIA เข้าไปปฏิบัติงานในเวเนซุเอลา และพื้นที่ทะเลแคริบเบียน โดยอ้างว่าเวเนซุเอลาไม่มีศักยภาพกวาดล้างยาเสพติด และอาชญากร ทำให้ยาเสพติดเข้าไปยังสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ก็ไม่ต้องการมีภาพลักษณ์เป็นมหาอำนาจที่ทำสงครามในต่างประเทศ จึงให้เหตุผลในการเพิ่มกำลังทหารในภูมิภาคอเมริกาใต้ครั้งนี้ว่า เป็นไปเพื่อทำสงครามปราบปรามยาเสพติด โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ผู้ปกครองเวนซุเอลาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก เช่น กลุ่ม Tren de Aragua ที่มีฐานปฏิบัติการในเวเนซุเอลา นอกจากนี้ ผู้ปกครองประเทศดังกล่าวมีส่วนร่วมในการทำให้ยาเสพติดส่งออกไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ดังนั้น สหรัฐฯ จำเป็นต้องสกัดกั้นภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและสังคมอเมริกัน
นักวิเคราะห์มีมุมมองว่า การปราบปรามยาเสพติดไม่จำเป็นต้องใช้กองเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ จึงยังคงติดตามและสนใจรายงานสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลแคริเบียนอย่างใกล้ชิด เฉพาะอย่างยิ่งความเคลื่อนไหวด้านการทหารของฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศเปอร์โตริโก เนื่องจากมีรายงานการประจำการเครื่องบินรบเพิ่มเติม เช่น F-35 และ P-8 Poseidon รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับรุ่น MQ-9 Reaper ที่สหรัฐฯ เคยใช้ลาดตระเวนและสอดแนมในอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังวางแผนการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มอาชญากรยาเสพติดและเครือข่ายในเวเนซุเอลาในพื้นที่รอยต่อชายแดนระหว่างโคลอมเบียกับเวเนซุเอลา แต่ยังไม่ตัดสินใจ
อย่างไรก็ดี หากสหรัฐฯ ตัดสินใจโจมตี การโจมตีดังกล่าวอาจเป็นเหตุการณ์ขยายความตึงเครียดในภูมิภาคอเมริกาใต้ได้ต่อไป เนื่องจาก เวเนซุเอลาได้ประกาศเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการระดมกำลังทหารเต็มรูป ทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และทางทะเล รวมทั้งโดรน ขณะที่ประธานาธิบดีมาดูโรประกาศกร้าวว่า มียุทโธปกรณ์พร้อมปกป้องประชาชน และประเทศเวเนซุเอลา เช่น ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน รุ่น Igla-S ของรัสเซีย ประมาณ 5,000 ลูก โดยเป็นขีปนาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่เวเนซุเอลามีอยู่








