![]()
สหรัฐฯ เป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่เผชิญกับการหลอกลวง เฉพาะอย่างยิ่งกับการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ เนื่องจากเป็นสังคมที่ขึ้นอยู่กับโลกออนไลน์ โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่ใช้ชีวิต หรือทำกิจกรรมบนโลกออนไลน์ เช่น การติดต่อสื่อสาร การจับจ่ายใช้สอย และการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น ข้อมูลจาก www.thedigitalwhale.com เปิดเผยว่าชาวอเมริกันร้อยละ 85 ใช้ระบบออนไลน์ทุกวัน และร้อยละ 31 ใช้เกือบตลอดเวลา เฉลี่ยแล้วใช้สื่อดิจิทัล 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งรวมทั้งการเล่นโซเชียลมีเดีย
สำนักงานสืบสวนกลาง (Federal Bureau Investigation-FBI) มีข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าความสูญเสียที่ชาวอเมริกันถูกหลอกลวงออนไลน์ ว่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเมื่อปี 2567 สูงถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรายงานของ Pew Research ของสหรัฐฯ ที่สำรวจความเห็นของชาวอเมริกัน และเผยแพร่เมื่อ เมษายน 2568 พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าการหลอกลวงทางออนไลน์เป็นปัญหาระดับประเทศ คนหนุ่มสาวประมาณ ร้อยละ 73 เคยถูกหลอกลวงทางออนไลน์ เช่น การผ่าน shopping scam วิธีที่คนหนุ่มสาวนถูกสแกมเมอร์หลอกลวง อันดับ 1 คือ ทางโทรศัพท์ รองลงมา คือ อีเมล หรือการได้รับข้อความ (text message)
นอกจากนี้ วัยที่ถูกสแกมเมอร์หลอกจะเป็นช่วงอายุ 18-29 ปี มากกว่าผู้สูงอายุ และวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ก็จะไม่แจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อสูญเสียเงินจากการถูกสแกมเมอร์โกง ชาวอเมริกันยังเห็นว่า การที่ชาวอเมริกันความคุ้นเคยต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) ที่มีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของชาวอเมริกัน ทำให้สแกมเมอร์ใช้ช่องทางนี้หลอกลวงได้ง่ายและมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวอเมริกันคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะถูกหลอกโดยสแกมเมอร์
กรณี AI ทำให้ FBI เตือนชาวอเมริกันเมื่อกลางพฤษภาคม 2568 ว่า มีเคสที่สแกมเมอร์ใช้ AI เลียนเสียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ โดยมีการส่งข้อความสั้น และเสียงที่เลียนเสียงเจ้าหน้าที่ระดับสูง (smishing and vishing) ไปยังเหยื่อที่เป็นเจ้าหน้าที่ และอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนตัว และมีการให้กดลิงก์ เพื่อเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ ทั้งนี้ FBI ได้เตือนชาวอเมริกันอย่างต่อเนื่องให้ระมัดระวังว่ากลุ่มสแกมมเมอร์จะใช้ AI หลอกหลวงทางการเงิน
ความสูญเสียของชาวอเมริกันจากการถูกสแกมเมอร์หลอกนั้น รายงานของ FBI เมื่อเมษายน 2568 ประเมินว่า เมื่อปี 2567 สแกมเมอร์ และอาชญากรคอมพิวเตอร์ล่อลวงเงินชาวอเมริกันทำสถิติสูงสุด 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจากปี 2566 ถึงร้อยละ 33 โดยเหยื่อเป็นคนสูงวัยอายุมากกว่า 60 ปี เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้สูญเสียเงินประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนศูนย์ Internet Crime Complaint Center (IC3) ของ FBI ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อปี 2567 ถึง 859,532 เรื่อง โดยส่วนใหญ่ได้รับการร้องเรียนจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เทกซัส และฟลอริดา สำหรับแนวโน้มการหลอกลวงจาก call center scams มีมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งทำความสูญเสียประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
FBI ชี้ให้เห็นว่าการหลอกลวงให้ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อปี 2567 มีชาวอเมริกันร้องเรียนว่าถูกหลอกถึง 41,000 คดี ซึ่งถูกขโมยเงินไปถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมระบุว่าสแกมเมอร์ส่วนใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับการหลอกลวงให้ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี ส่วนใหญ่สแกมเมอร์จะใช้เทคนิคการเป็นเพื่อน และหลอกให้รักก่อนที่จะล่อลวงให้ลงทุน นอกจากนี้ ยอดเงินที่ชาวอเมริกันถูกหลอกผ่านตู้ ATM คริปโต (Cryptocurrency ATM ) ที่ให้ผู้ใช้สามารถ ซื้อและขายสกุลเงินดิจิทัลได้โดยตรง ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสื่อมวลชนของสหรัฐฯ ได้ตีแผ่และลงรูปตู้ ATM คริปโต ที่ติดตั้งอย่างแพร่หลายตามห้างสรรพสินค้าโดยทั่วไป แม้ไม่ผิดกฎหมายในการดำเนินธุรกรรมดังกล่าว แต่ก็เป็นช่องทางให้สแกมเมอร์ใช้เป็นช่องทางหลอกลวง
FBI เสนอแนวทางต่อชาวอเมริกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกสแกมเมอร์หลอกลวง ได้แก่ 1) หยุดและคิด-พูดคุยกับคนอื่น (Pause and think – and talk to someone) 2) ฝึกฝน และมีวินัยในการดูแลระบบดิจิทัล (Practice good digital hygiene) และ 3) แจ้งอาชญากรรมการหลอกลวงต่อเจ้าหน้าที่ (Report fraud) รวมทั้งเหยื่อที่ถูกหลอกลวงสามารถโทรศัพท์ไปที่ Fraud Watch Network Helpline (877-908-3360) เพื่อแจ้งข่าวสาร และรับการสนับสนุน
ติดตามอ่าน EP : 1 สแกมเมอร์ไม่ได้ทำธุรกิจหลอกลวงเพียงอย่างเดียว








