แนวโน้มความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน ภายหลังการพบหารือระหว่างผู้นำ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พบหารือกันเมื่อ 30 ตุลาคม 2568 ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ ห้วงที่มีการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือเอเปค โดยจะเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากปี 2562 ซึ่งการพบหารือครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ตึงเครียด เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีสินค้านิเข้าจากจีนเพื่อตอบโต้มาตรการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธของรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์การพบหารือระหว่างผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจครั้งนี้ค่อนข้างเป็นเชิงบวก และอาจส่งผลดีต่อบรรยากาศความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น แนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหลังจากการพบหารือครั้งนี้น่าจะดีขึ้น เนื่องจากผู้นำสหรัฐฯ และจีนเห็นพ้องจะปรับลดมาตรการทางการค้าที่เป็นอุปสรรคระหว่างกัน ลดแรงกดดันในการส่งออก และจะยังคงมีช่องทางหารือระหว่างกันต่อไป สำหรับมาตรการที่สหรัฐฯ จะผ่อนคลายให้จีน เช่น สหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จีนกรณีการควบคุมสารเสพติดเฟนทานิล จากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 10 ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมเรือขนส่งสินค้าจากจีน ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะไม่เพิ่มรายชื่อบริษัทต่างชาติในบัญชี Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และระบุว่าสหรัฐฯ กับจีนอาจลงนามในข้อตกลงการค้าระหว่างกันได้เร็ว ๆ นี้ ด้านจีนตกลงจะชะลอมาตรการการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธ ซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐฯ ออกไปก่อน รวมทั้งเห็นพ้องที่จะนำเข้าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์อาหารจากสหรัฐฯ มากขึ้น ผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำจีนได้สร้างผลงานในการเจรจากับต่างประเทศ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้จีนยอมเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากสหรัฐฯ ที่จะเป็นโอกาสเพิ่มความได้เปรียบดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้แสดงวิสัยทัศน์ให้ทั่วโลกเห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการรักษาบรรยากาศเศรษฐกิจโลก…











