เกิดอะไรขึ้น นักศึกษาอินเดียถึงไปเรียนในสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 แซงหน้านักศึกษาจีนที่ครองอันดับนี้มายาวนาน และนักศึกษาจีนจะมีแนวโน้มลดลงไปอีกหรือไม่ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในมกราคม 2568 เพราะเมื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก นายทรัมป์ได้พูดชัดเจนว่านักศึกษาจีนที่มาเรียนในสหรัฐฯ เป็นสายลับให้รัฐบาลจีน และช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็มีหลักฐานยืนยันถึงการทำจารกรรมข้อมูลที่มีความอ่อนไหวของนักศึกษาจีนที่ไปเรียนที่สหรัฐฯ
ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และ Institute of International of Education เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2567 รายงานว่า นักศึกษาอินเดียที่ไปเรียนในสหรัฐฯ ระหว่างภาคการศึกษาปี 2566-2567 มียอดมากที่สุด หรือเป็นอันดับ 1 มี จำนวน 33,1602 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งแซงหน้านักศึกษาจีนที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.2 ตกลงมาเป็นอันดับ 2 โดยยอดลดลงเหลือ 277,398 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่จำนวนนักศึกษาอินเดียที่ไปเรียนในสหรัฐฯ ขึ้นเป็นอันดับ 1 แซงจีน
นักศึกษาอินเดียนิยมไปเรียนในสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ลักษณะทางประชากรของอินเดียที่มีประชากรอายุต่ำกว่า 25 ปี มากกว่าร้อยละ 40 มีศักยภาพในการจ่ายค่าเทอมได้ และเป็นค่านิยมในระดับ ปริญญาตรีที่นิยมออกไปเรียนต่างประเทศ ขณะที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ใช่ค่าเทอมจากนักศึกษาเลี้ยงตัวเองก็เปิดคณะวิชาที่ดึงดูดใจนักศึกษาอินเดีย และหลังเรียนจบสหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ทำงานต่อได้อีก 3 ปี สำหรับวิชาที่นักศึกษาอินเดียนิยมไปเรียนในสหรัฐฯ เช่น คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และวิศวกรรม โดยรัฐที่นักศึกษานิยมไปเรียน 3 อันดับแรก ได้แก่ รัฐเทกซัส นครนิวยอร์ก และรัฐแคลิฟอร์เนีย
…แล้วทำไมนักศึกษาจีนไปเรียนสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งเริ่มแรกก็เป็นเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และก็ตามมาด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก เฉพาะอย่างยิ่งในสมัยแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายทรัมป์ (2560-2564) นอกจากนี้ ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับงานข่าวกรอง รวมทั้งกระทรวงยุติธรรม เฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานสืบสวนกลาง หรือเอฟบีไอก็มีหลักฐาน และมีการลงโทษหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมข้อมูลของนักศึกษาจีนในสหรัฐฯ เช่น นักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าส่งข้อมูลกลับไปให้จีน หรือนักศึกษาจีนที่มาเรียนในสหรัฐฯ ที่ได้ทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ได้ขโมยความลับทางการค้ากลับไปให้จีน หรือเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของจีนพยายามชักชวนนักศึกษาชาวจีนให้นำข้อมูลด้านการทหาร ข่าวกรอง และเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวให้กับตน
ย้อนกลับมายังนักศึกษาอินเดียที่ไปเรียนสหรัฐฯ แม้ภาคการศึกษาปี 2566-2567 จะอยู่อันดับ 1 ของนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ แต่เมื่อปี 2567 นักศึกษาอินเดียได้วีซ่า F1 เพื่อเข้าไปเรียนสหรัฐฯ ลดลงในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 เหลือ 64,008 ราย จาก 103,495 ราย เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันของปี 2566 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนักศึกษาจีนก็ได้วีซ่า F1 ลดลงเช่นกัน และจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีแนวโน้มขัดแย้งกับจีนเพิ่มขึ้น อาจจะยิ่งทำให้นักศึกษาจีนก็ได้วีซ่า F1 ลดลงไปอีก ซึ่งก็มีมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เตือนนักศึกษาจีนแล้วว่า อาจต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เพราะหลังมกราคม 2567 ที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 บริหารประเทศ อาจจะยากในการกลับมาเรียนที่สหรัฐฯ หากกลับไปจีน