ถ้าพูดถึงกลุ่มโลกใต้หรือ Global South ก็เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงประเทศกำลังพัฒนา แต่ว่าในกลุ่มโลกใต้ด้วยกันก็มีหลายระดับ หลายประเทศมีศักยภาพทั้งการเมืองและเศรษฐกิจที่พร้อมจะยกระดับตัวเองเป็นประเทศขนาดกลาง หรือ Middle Power แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ประเทศในเอเชียตะวันออกเท่านั้นที่มีความพร้อมดังกล่าว แต่ประเทศในกลุ่มโลกมุสลิมเช่น ประเทศรอบอ่าวอาหรับ ที่อยู่ในกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) เป็นประเทศหน้าใหม่ที่มีบทบาทโดดเด่นและน่าจับตามองในเวทีโลกในหลายมิติด้วย Soft Power ของแต่ละประเทศ
หากพูดถึงกลุ่ม GCC ที่ประกอบด้วย ซาอุดีอาระเบีย โอมาน บาห์เรน กาตาร์ คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เดิมเราอาจนึกถึงภาพความเป็นประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ยึดมั่นกับอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมอย่างเข้มงวดผ่านการปกครองที่มีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นผู้นำ และร่ำรวยด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่ปัจจุบันภาพเหล่านี้กำลังมีภาพใหม่ขึ้นมาประกบ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นประเทศมุสลิมสมัยใหม่ ทั้งรูปแบบการลงทุน เช่น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) ที่ถือเป็นความโดดเด่นของกลุ่ม GCC รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน การเป็นเจ้าของสื่อหัวก้าวหน้าไม่น้อยไปกว่าสื่อตะวันตก เช่น Al-Jazeera การพัฒนาขีดความสามารถด้านอวกาศ การเป็นเจ้าของทีมและลีกฟุตบอล หรือการเป็นแหล่งลงทุนที่มีชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา จนทำให้กลุ่มประเทศ GCC เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศหน้าใหม่ที่ขับเคลื่อนบทบาทในเวทีโลกด้วย Soft Power ไม่ด้อยไปกว่าประเทศผู้นำด้าน Soft Power ในเอเชียตะวันออก…และนับวันยิ่งจะโดดเด่นขึ้น
จากการจัดอันดับดัชนี Soft Power โลกหรือ Global Soft Power Index (GSPI) ที่จัดทำโดย Brand Finance ทุกปีตั้งแต่ปี 2563 เพื่อจัดอันดับ Soft Power ของ 193 ประเทศทั่วโลกในมิติต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรม ธุรกิจ การทูต ความแข็งแกร่งและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อาหาร ศิลปะ และวัฒนธรรม ระหว่างปี 2563-2568 พบว่า อันดับของกลุ่ม GCC ดีวันดีคืน ไม่ว่าจะเป็นด้านการทูต วัฒนธรรม หรือยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ UAE ที่อยู่ในอันดับ 10 ตั้งแต่ปี 2566 ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ จากที่อยู่ในอันดับ 18 เมื่อปี 2563 ส่วนซาอุดีอาระเบียมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่างอันดับที่ 20-25 (ปี 2563 อยู่ที่อันดับ 26/ปี 2564-2565 อยู่ที่อันดับ 24/ปี 2566 อยู่ที่อันดับ 19/ปี 2567 อยู่ที่อันดับ 18 และปีนี้อยู่ที่อันดับ 20) ขณะที่กาตาร์ GSPI อันดับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการเป็นที่รู้จักของทั่วโลกไม่น้อยไปกว่าใครด้วยการเป็นเจ้าของสื่อระดับโลกและการเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคหลายครั้ง โดยปีนี้ GSPI ของกาตาร์อยู่ในอันดับที่ 22 ขึ้นจากอันดับที่ 31 เมื่อปี 2563
เมื่อพิจารณาในรายประเทศ ต้องถือว่า UAE ล้ำหน้าไปกว่าเพื่อนร่วมภูมิภาค ทั้งภาพการเป็นประเทศมุสลิมหัวก้าวหน้าและมีความทันสมัยทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่มีการลงทุนจากต่างชาติและชาวต่างชาติเข้าไปทำงานใน UAE จำนวนมาก จนเริ่มมีข่าวความไม่ลงรอยระหว่างคนท้องถิ่นกับคนต่างชาติ อีกทั้งยังมีอีเวนท์ระดับโลกหลายรายการเข้าไปจัดงานทั้งงาน Expo 2020, COP28 และการประชุม World Governments Summit ส่วนซาอุดีอาระเบียก็ใช้ประโยชน์จากศักยภาพทางเศรษฐกิจเพื่อเสริมสร้างสถานะในเวทีระหว่างประเทศเช่นกัน แม้มีภาพลบจากการใช้กำลังทางทหารกรณีเยเมนเมื่อปี 2558 หรือการพัวพันกับการสังหารนาย Jamal Khashoggi นักหนังสือพิมพ์ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อปี 2561 นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียยังมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศมุสลิมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอิรัก ซีเรีย หรือปากีสถาน ข้อมูลของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs – OCHA) ระบุว่า ซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 5 ของประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2568 และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคติดต่อกันมาหลายปี
กาตาร์เป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างมากในกลุ่ม GCC ไม่เพียงมีสำนักข่าว Al-Jazeera เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นแบรนด์สำคัญของกาตาร์และสื่อของโลกมุสลิมที่ไม่น้อยหน้าสื่อตะวันตก แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในเยเมนระหว่างรัฐบาลเยเมนกับกลุ่มติดอาวุธฮูษี หรือระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส หรือแม้แต่ประเทศนอกภูมิภาค เช่น อัฟกานิสถานและซูดาน ไม่ว่าผลการเจรจาไกล่เกลี่ยจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ คือ กาตาร์เป็นดาวเด่นในกลุ่มประเทศโลกใต้และโลกมุสลิมที่น่าสนใจไม่น้อยผ่านบทบาทดังกล่าว
แม้อันดับ GSPI ของกลุ่มประเทศ GCC จะยังไม่นิ่งขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บ้าง แต่ในอนาคตน่าจะเสถียรมากขึ้นด้วยศักยภาพของแต่ละประเทศ และความต้องการแสดงบทบาทและการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่ง UAE ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ ที่มีขีดความสามารถด้านการลงทุน ศักยภาพทางการทูต ความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ และอิทธิพลด้านสื่อ จึงน่าจะกล่าวได้ว่า ในยุคโลกหลากขั้ว ประเทศในกลุ่มโลกใต้ทั้งเอเชียตะวันออกและโลกมุสลิมต่างจะมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยใช้ศักยภาพและความพร้อมของแต่ละประเทศ ในมิติต่าง ๆ เป็น Soft Power เพื่อสร้างแต้มต่อ การยอมรับ และเป็นแบรนด์ของตัวเองเพื่อยกระดับสถานะในเวทีระหว่างประเทศในอนาคต