บทความเรื่องนี้จะชวนผู้อ่านเปรียบเทียบการทำสงครามหรือความขัดแย้งทางอาวุธ กับการทำสงครามเพื่อเอาชนะโรคภัยไข้เจ๊บ ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ โดยเฉพาะ “เทคโนโลยีชีวภาพ” ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการทำลายภัยคุกคามด้วยวิธีการแบบหว่านแห ด้วยวิธีการแบบมุ่งเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ทั้งในสมรภูมิสงครามตามแบบ และสงครามต่อสู้โรคร้าย
ในการทำสงครามแต่ละครั้ง แน่นอนว่าทุกฝ่ายจะมีเป้าหมาย “เอาชนะศัตรู” ไม่ว่าจะในสงครามรูปแบบเก่าที่ขัดแย้งกันด้วยอาวุธ สงครามรูปแบบใหม่ที่เอาชนะกันด้วยการครอบครองจิตใจมนุษย์ผ่านเครื่องมือหลากหลายแบบ …ที่ผ่านมา มนุษย์เราผ่านประสบการณ์สงครามมากมายหลายรูปแบบ แต่ประสบการณ์สงครามส่วนใหญ่ที่ผ่านมา คู่ต่อสู้ในสงครามมียุทธวิธีการเอาชนะศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีการแบบหว่านแห หรือการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย หรือ indiscriminate attack ซึ่งปัจจุบันเป็นยุทธวิธีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยธรรมสากล เพราะมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่ายพลเรือนหรือประชาชนทั่วไป รวมทั้งสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เช่น การทิ้งระเบิดในพื้นที่ศัตรู เพื่อมุ่งทำลายฐานทัพของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม แต่สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยของประชาชนทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นต้น …
สำหรับสาเหตุที่ทำให้กองทัพหรือกองกำลังต่าง ๆ เลือกใช้วิธีการโจมตีแบบหว่านแหนั้น ก็เป็นเพราะต้องการเอาชนะอย่างเด็ดขาด หรือการยังไม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการปฏิบัติการทางทหาร จึงจำเป็นต้องเลือกการโจมตีขนาดใหญ่เพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมาย “ชนะศัตรู” ได้เร็วที่สุด แม้การโจมตีในลักษณะนี้ จะเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว แต่ส่วนใหญ่ จะต้องแลกมาด้วยความเสียหายมหาศาลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพราะตกเป็นเหยื่อในการกวาดล้างด้วยอาวุธสงครามไปด้วยทุกครั้ง รวมทั้งการใช้วิธีการดังกล่าวก็ไม่ได้รับประกันชัยชนะระยะยาวได้เลย
ตัวอย่างเหตุการณ์การโจมตีแบบหว่านแห ที่สร้างผลกระทบขนาดใหญ่และใช้เวลานานในการฟื้นฟูสภาพ คือ การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแม้เป้าหมายจะเป็นการแสดงแสนยานุภาพของฝั่งสหรัฐอเมริกา เพื่อระงับสงครามไม่ให้กระจายตัวและควบคุมความสูญเสีย แต่ผลลัพธ์จากการทิ้งระเบิดดังกล่าวสร้างความบอบช้ำไว้เกินกว่าเป้าหมายทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพราะความร้อนมหาศาลจากระเบิดนิวเคลียร์ทำให้ทุกสรรพสิ่งระเหิดหายไปในพริบตา ไม่ว่าจะเป็นประชาชน โครงสร้างอาคาร และระบบนิเวศ สะท้อนให้เห็นถึง “ผลลัพธ์” อันน่าสะพรึงกลัวจากการใช้อาวุธที่ไม่สามารถระบุเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
อีกหนึ่งตัวอย่างในยุคต่อมา ก็เป็นผลงานของสหรัฐอเมริกาอีกเช่นกัน อาจเพราะเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกที่แสดงบทบาทด้านความมั่นคงด้วยการปฏิบัติการทางทหารในทุกพื้นที่ โดยปฏิบัติการแบบหว่านแหของสหรัฐฯ ที่อิรัก เพื่อปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย จับกุมตัวผู้นำอย่างนายซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในขณะนั้น และค้นหาอาวุธทำลายล้างที่ไม่มีหลักฐานว่ามีอยู่จริง ปฏิบัติการครั้งนั้นกินเวลายาวนานกว่า 8 ปี มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 30,000 คน และสูญเสียทหารจากทั้งสองฝ่ายมากกว่า 45,000 คน …ผลลัพธ์ที่ตามมาจากสงครามอิรัก สร้างบาดแผลทางจิตใจให้ทหารชาวอเมริกันและครอบครัวชาวอเมริกันที่เผชิญความสูญเสียจำนวนมาก กลายเป็นบทเรียนสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าไม่ควรส่งทหารไปเผชิญสงครามในต่างประเทศระยะยาว ซ้ำยังทำให้เกิดภาวะรัฐล้มเหลวในอิรัก แม้สงครามจะสิ้นสุดลงจากที่สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากพื้นที่ แต่ไม่เกิดความสงบเรียบร้อย และยังคงมีกลุ่มก่อการร้ายใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเคลื่อนไหวในอิรักด้วย
การทำสงครามด้วยปฏิบัติการทางทหารแบบหว่านแห ทำให้เกิดความล้มเหลวทั้งในแง่การเอาชนะศัตรู รวมทั้งมีผลกระทบด้านความมั่นคงที่เกิดขึ้นตามมา ทำให้นักวิจัยและพัฒนาอาวุธด้านการทหาร ต้องตั้งสมมติฐานใหม่เกี่ยวกับการทำปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ต่าง ๆ โดยลองจินตนาการว่า หากการทำสงครามแต่ละครั้งสามารถระบุที่ซ่อนตัวของเป้าหมายหรือภัยคุกคามได้อย่างชัดเจน ตลอดจนสามารถจัดการได้อย่างแม่นยำ อาจทำให้การทำสงครามนั่นบรรลุเป้าหมายได้ รวมทั้งควบคุมความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น …สมมติฐานดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมอาวุธพัฒนาวิยาการและยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ เพื่อให้มีความสามารถในการระบุและทำลายเป้าหมายได้แม่นยำ ไม่กระทบพลเรือนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเป็นหลักการในการทำสงครามยุคใหม่ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่รณรงค์ให้การโจมตีทางทหาร ควรมุ่งเป้าหมายไปที่บุคคล ยุทโธปกรณ์ หรือสถานที่ที่เป็นเป้าหมายทางทหารอย่างชัดเจนเท่านั้น อาวุธที่เกิดจากการพัฒนาแนวคิดการโจมตีโดยเฉพาะเจาะจงเป้าหมาย เช่น ขีปนาวุธนำวิถี และอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดอาจมีขีดความสามารถมากกว่าการโจมตีที่แม่นยำ แต่สามารถหลบซ่อนการตรวจจับหรือลาดตระเวนเพื่อรวบรวมข้อมูลของเป้าหมายได้ด้วย
แนวคิดการจัดการเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง ไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะวงการอุตสาหกรรมพัฒนาอาวุธเพื่อทำสงครามเท่านั้น แต่แนวคิดดังกล่าวเป็นเป้าหมายของวงการการแพทย์ด้วย …การแพทย์ยุคแรก หรือที่เรียกกันว่า “การแพทย์ 1.0” (Medicine 1.0) ให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลเมื่อมนุษย์มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ผ่านกระบวนการตรวจวินิจฉัยและจ่ายยาเพื่อแก้ไขตามอาการ เนื่องจากองค์ความรู้จะอยู่ที่เฉพาะแพทย์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับตนได้ ทำให้แนวทางการรักษาในอดีต เมื่อเผชิญกับโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง จึงมีวิธีการรักษาค่อนข้างจำกัด ได้แก่ การใช้คีโมและการฉายแสง ซึ่งเปรียบเสมือน “การทิ้งระเบิดในร่างกาย” หรือการปฏิบัติการทำลายเป้าหมายแบบหว่านแหนั่นเอง เพราะการทำคีโมมีหลักการสำคัญ คือ การทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว จึงทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่ดีอื่น ๆ ไปพร้อมกัน ดังนั้น ผู้ที่ผ่านกระบวนการทำคีโมจึงมีผลข้างเคียง คือ ร่างกายอ่อนแอ และแม้ผู้ป่วยจะหายขาดจากโรคมะเร็งได้ในช่วงหนึ่ง ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นมะเร็งได้อีกได้ เพราะเซลล์มะเร็งสามารถหลบซ่อนในอวัยวะอื่น ๆ ได้ แม้กระทั่งในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้อื่นแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะเล็ดลอดมาสู่ร่างกายใหม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิทยาการ “การแพทย์ 1.0” นั้น ยังสำรวจร่างกายได้ในระดับเซลล์เพียงเท่านั้น
นี่จึงเป็นความท้าทายของวงการแพทย์ที่มุ่งคิดค้นวิทยาการที่จะสามารถระบุเป้าหมายเพื่อการรักษาโรคให้ได้อย่างแม่นยำ และโจมตีโรคร้ายเฉพาะจุดที่เป็นปัญหา เพื่อรักษาส่วนที่ดีหรือสภาพแวดล้อมภายในของร่างกายมนุษย์เอาไว้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแนวคิดการ “จำกัดขอบเขตความเสียหาย” กลายเป็นหลักการสำคัญไม่ว่าจะในสนามรบ หรือภายในร่างกายมนุษย์
ปัจจุบัน เทคโนโลยีทางชีวภาพที่ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าระดับเซลล์ไปในระดับ “นาโนโมเลกุล” หรือที่เรียกว่า นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Nanobiotechnology) จึงเปรียบเหมือนปัจจัยเอาชนะในสงครามที่วงการแพทย์ต้องเผชิญ เพราะเทคโนโลยีชีวภาพสามารถทำให้แพทย์เข้าถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับดีเอ็นเอ โปรตีน หรือแม้แต่โครงสร้างย่อยในเซลล์ เมื่อความละเอียดทางการแพทย์รวมเข้ากับการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งประสบการณ์ของมนุษย์เอง วิทยาการและความรู้เหล่านี้จะเปิดโอกาสให้มนุษย์สามารถกระตุ้นหรือแก้ไขดีเอ็นเอที่ผิดพลาด ซึ่งเป็นต้นตอของโรคร้าย เช่น มะเร็ง ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซ้ำยังไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์อื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นเซลล์มะเร็งอีกด้วย
ในหนังสือชื่อดังระดับโลกของนักเขียน Yuval Noah Harari ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Homodeus : A Brief History of Tomorrow เสนอไว้อย่างน่าสนใจว่า 1 ในปัจจัยที่จะขับเคลื่อนอนาคตโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความกระหายที่จะมีอายุยืนยาวราวกับเทพเจ้านั้น คือ “เทคโนโลยีชีวภาพ” เพราะการเข้าใจและจัดการกับเซลล์และดีเอ็นเอในตัวมนุษย์ได้แบบเบ็ดเสร็จ กลายเป็นเป้าหมายของบุคคลที่ครองอำนาจและทรัพย์สินมหาศาล และในทางกลับกัน เทคโนโลยีชีวภาพก็เป็นกุญแจสู่การเอาชนะในสงครามตามแบบด้วย …ลองจินตนาการถึงกระสุนที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงหรือสารเคมีที่สามารถทำลายเป้าหมายได้โดยที่ไม่ถูกตรวจจับ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังปฏิบัติการ รวมทั้งไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายหรือศัตรูอาจถูกทำลายหรือล่มสลายไปโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้สืบได้ เพราะเทคโนโลยีชีวภาพเล่นงานเป้าหมายได้ในระดับที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั่นเอง… อนาคตในรูปแบบนี้อาจฟังดูน่ากลัวและน่าหวาดระแวง และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้นานาชาติเริ่มคิดค้นกรอบและระเบียบในการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพให้ยังคงตรวจสอบได้และปลอดภัยต่อมนุษยชาติ
เพราะหากไม่มีการตรวจสอบหรือการเปิดเผยข้อมูลวิทยาการและเทคโนโลยีดังกล่าว อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น รวมทั้งความพยายามในการสร้างอำนาจเหนือกว่า จากการครอบครองเทคโนโลยีชีวิภาพด้วย เนื่องจากการครอบครองข้อมูลระดับดีเอ็นเอ คือ การครอบครองอัตลักษณ์ทางชีวภาพเฉพาะบุคคล เหมือนกับการเก็บลายนิ้วมือ ซึ่งการเป็นเจ้าของข้อมูลเหล่านี้อาจเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับวงการแพทย์ แต่ก็อาจถูกใช้ประโยชน์ในเชิงทหารในรูปแบบการทำสงครามชีวภาพเฉพาะเป้าหมาย (Targeted Biowarfare) เช่น การโจมตีด้วยสารพิษชีวภาพที่เราได้เห็นจากภาพยนตร์ Sci-Fi ต่าง ๆ ที่ทำให้เห็นว่า สารพิษจะออกฤทธิ์เฉพาะบุคคลหรือกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะเท่านั้น
แนวคิดนี้ในปัจจุบันอาจฟังดูเหมือนเหตุการณ์สมมติหรือสถานการณ์อุดมคติ แต่ในความเป็นจริง หากเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงถูกนำใช้ในบริบทการทำ “สงคราม” อาจเปิดช่องให้เกิดการปฏิบัติการแบบเฉพาะเจาะจงที่น่ากลัวมากขึ้น ดังนั้น บทความชิ้นนี้ขอชวนผู้อ่านที่สนใจเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อใช้ในการพัฒนาการแพทย์และการสงคราม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยีชีวภาพและป้องกันไม่ให้วิทยาการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของมนุษยชาติ รวมทั้งไม่ให้วิทยาการดังกล่าวตกอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย หรือถูกใช้ในทางที่อันตรายนั่นเอง