เวียดนาม
ระบุเมื่อ 6 ม.ค.65 ใช้งบประมาณในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้วทั้งสิ้น 74 ล้านล้านด่งเวียดนาม (ประมาณ 3,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ระบุเมื่อ 6 ม.ค.65 ใช้งบประมาณในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้วทั้งสิ้น 74 ล้านล้านด่งเวียดนาม (ประมาณ 3,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ระบุเมื่อ 6 ม.ค.65 ว่าตลาดแรงงานของสิงคโปร์ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เมื่อปี 2564 เติบโตร้อยละ 7.2 จากเมื่อปี 2563 เป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการทางสังคมและการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศในช่องทางพิเศษชนิด Vaccinated Travel Lane (VTL) อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของสายพันธุ์โอมิครอนอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสิงคโปร์
ระบุเมื่อ 7 ม.ค.65 นรม.ฮุน เซน มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เมียนมาเพื่อต่อต้านการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้แก่ หน้ากากอนามัย 3 ล้านชิ้น หน้ากาก N95 จำนวน 200,000 ชิ้น แว่นตานิรภัยทางการแพทย์ 100,000 ชิ้น ชุด PPE 30,000 ชุด หน้ากากใส (face shields) 30,000 ชิ้น รองเท้าบู๊ทนิรภัย 50 คู่ เครื่องช่วยหายใจ 50 เครื่อง เครื่องติดตามสัญญาณชีพ 50 เครื่อง และเครื่องผลิตออกซิเจน 50 เครื่อง
ระบุเมื่อ 5 ม.ค.65 เห็นว่ากรณีศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) ปรับสถานะสิงคโปร์เป็นประเทศเสี่ยงสูงจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงที่มีผู้ติดเชื้อในระดับคงที่ ซึ่งสิงคโปร์มีศักยภาพในการตรวจหาเชื้อสูง และมีสถานีตรวจหาเชื้อในระบบน้ำเสียทั่วประเทศ
ประกาศเมื่อ 5 ม.ค.65 ห้ามผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน รักษาตัวที่บ้านแม้มีอาการไม่รุนแรง เพื่อป้องการแพร่ระบาดในชุมชน ส่วนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาและอัลฟาสามารถรักษาตัวที่บ้านได้หากอาการไม่รุนแรง
ระบุเมื่อ 6 ม.ค.65 ตรวจพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 2,630 ราย ใน 26 รัฐ/ดินแดนสหภาพ หลังตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรก เมื่อ 2 ธ.ค.64 ที่รัฐกรณาฏกะ โดยพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ รัฐมหาราษฏระ ดินแดนสหภาพเดลี รัฐราชสถาน รัฐเกรละ และรัฐกรณาฏกะ
ระบุเมื่อ 6 ม.ค.65 ยืนยันพบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนรายแรกของประเทศ เป็นชายอายุ 73 ปี เสียชีวิตเมื่อ 31 ธ.ค.64 ที่เมือง Udaipur รัฐราชสถาน
เห็นชอบเมื่อ 5 ม.ค.65 กับข้อบังคับให้แสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ก่อนเข้าใช้บริการพื้นที่สาธารณะ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร โรงพยาบาล รถโดยสารประจำทาง และรถไฟ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนฉีดวัคซีนมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านการฉีดวัคซีน
ระบุเมื่อ 5 ม.ค.65 จะฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ชนิดเดิมให้กับผู้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ได้แก่ วัคซีน Covishield หรือวัคซีน Covaxin ตามที่ได้รับการฉีดเป็นเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 โดยอินเดียจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ บุคลากรด้านสาธารณสุข ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า เช่น ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่เรือนจำ และพนักงานเทศบาล ใน 10 ม.ค.65
ระบุเมื่อ 5 ม.ค.65 ได้รับวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 รวม 13,682,490 โดส เมื่อปี 2564 แบ่งเป็นวัคซีน Sinopharm 6,902,800 โดส วัคซีน AstraZeneca 4,176,870 โดส วัคซีน Johnson & Johnson 1,771,200 โดส วัคซีน Sinovac 700,000 โดส วัคซีน Pfizer 100,620 โดส วัคซีน Sputnik Light 30,000 โดส และวัคซีน Sputnik V 1,000 โดส