The Intelligence Update 14/02/2024 : ภาพรวมการประท้วงจากสนามเลือกตั้ง
พบกับรายการ The Intelligence Update อัปเดตสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าสนใจ วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่อง “ภาพรวมการประท้วงจากสนามเลือกตั้ง”
พบกับรายการ The Intelligence Update อัปเดตสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าสนใจ วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่อง “ภาพรวมการประท้วงจากสนามเลือกตั้ง”
สำนักข่าว IRNA ของทางการอิหร่าน รายงานเมื่อ 12 ก.พ.67 อ้าง พลตรี Hossein Salami ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps – IRGC) ของอิหร่าน เปิดเผยในวันเดียวกันว่า IRGC ประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกลจากเรือรบเป็นครั้งแรก โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกองกำลังการบินและอวกาศ (IRGC Aerospace Forces) กับกองทัพเรือ IRGC ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรบทางทะเลของ IRGC ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ อิหร่านขยายโครงการพัฒนาขีปนาวุธเพื่อป้องกันและป้องปรามภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อ 15 ม.ค.67 IRGC ยิงขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีเป้าหมายในเขตปกครองตนเองชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัก ที่อิหร่านเชื่อว่าเป็นฐานสายลับอิสราเอล และฐานที่มั่นของกลุ่ม Islamic State (IS) ในเมือง Aleppo และจังหวัด Idlib ทางเหนือของซีเรีย ที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในอิหร่าน เมื่อ 3 ม.ค.67
นาย Kumar Muthuvelu ผู้บัญชาการตำรวจรัฐยะโฮร์ มาเลเซีย เปิดเผยเมื่อ 12 ก.พ.67 ยืนยันกรณีสถานที่ราชการในรัฐยะโฮร์ 3 แห่ง ได้แก่ สภาเมือง กรมตำรวจ และสำนักงานศาล ได้รับอีเมลขู่วางระเบิดจากบัญชีที่ใช้ชื่อว่า “Takahiro Karasawa” (takahiro-karasawa@akita-h-story.jp) และใช้ข้อความเดียวกัน แต่เมื่อเข้าตรวจสอบพื้นที่กลับไม่พบวัตถุต้องสงสัย และจากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า บัญชีดังกล่าวเคยส่งข้อความขู่วางระเบิดสถานที่สำคัญในหลายประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ เมื่อ ส.ค.66 ฟิลิปปินส์ เมื่อ ก.ย. และ ต.ค.66 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับอีเมลขู่วางระเบิดเมื่อ ธ.ค.66 ส่วนบุคคลชื่อ Takahiro Karasawa มีตัวตนจริง เป็นทนายความชาวญี่ปุ่น และเคยชี้แจงผ่านบัญชี X ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุขู่วางระเบิด โดยอ้างว่าเป็นการกระทำของกลุ่มนิยมความรุนแรงที่แฮกบัญชีดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้ กรมตำรวจรัฐยะโฮร์ยังไม่ทราบแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ แต่สันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุไม่ได้เจาะจงเป้าหมาย แต่เป็นการส่งอีเมลแบบสุ่มเพื่อสร้างสถานการณ์ โดยจะสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป
กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ออกแถลงการณ์เมื่อ 12 ก.พ.67 ประณามกองทัพอิสราเอลที่ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเมืองราฟาห์ ในฉนวนกาซา ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ ผิดกฎหมาย และไร้มนุษยธรรม อีกทั้งชัดเจนว่าเป้าหมายของอิสราเอลคือการทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ให้สิ้นซาก โดยไม่คำนึงถึงหลักพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและละเมิดคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อ 26 ม.ค.67 ที่ให้ความคุ้มครองชาวปาเลสไตน์ชั่วคราว โดยมาเลเซียเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างวิกฤตด้านมนุษยธรรม และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค นอกจากนี้มาเลเซียยังเรียกร้องให้เลขาธิการสหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เร่งยับยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้โดยเร็ว โดยมาเลเซียยังคงยืนหยัดสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ในการกำหนดใจตนเอง (Right to Self-Determination) การสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่มีกรุงเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวง และการเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้ อิสราเอลโจมตีทางอากาศต่อเมืองราฟาห์เมื่อช่วงเช้า 12 ก.พ.67 เป็นเหตุให้มีพลเรือน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก เสียชีวิตกว่า 100 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์ประมาณ 1.4 ล้านคน อาศัยอยู่ในเมืองราฟาห์ เนื่องจากกองทัพอิสราเอลบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายถิ่นฐานจากทางตอนเหนือลงมายังตอนใต้ของฉนวนกาซา
กระทรวงการต่างประเทศ(กต.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.)สหรัฐฯ เผยแพร่แถลงการณ์เมื่อ 12 ก.พ.67 ว่า ในวันเดียวกัน นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ได้พบหารือทวิภาคีกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และนางจีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในระหว่างการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ บนพื้นฐานค่านิยมและผลประโยชน์ร่วม เพื่อสร้างสันติภาพและเสถียรภาพทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ไทยมุ่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework-IPEF) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมพลังงานสะอาดและมาตรฐานทางการค้าที่เป็นธรรม ตลอดจนเชิญชวนภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาในเมียนมาและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การให้ความช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในกาซา และขอสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี 2568 – 2570
เว็บไซต์ VOA และ AP รายงานเมื่อ 12 ก.พ.67 ว่า ชาวกรีกประมาณ 1,500 คน จัดชุมนุมประท้วงที่กรุงเอเธนส์ กรีซ เมื่อ 11 ก.พ.67 เพื่อคัดค้านร่างกฎหมายสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมยื่นพิจารณาเข้ารัฐสภาในสัปดาห์นี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม แต่จะต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านกลางและพรรคฝ่ายค้านซ้ายด้วยจึงจะได้รับการอนุมัติ ปัจจุบัน กรีซให้การรับรองสัญญาการอยู่ร่วมกันสําหรับคู่รักเพศเดียวกัน และอนุญาตให้เปลี่ยนอัตลักษณ์ทางเพศได้โดยไม่ต้องมีการประเมินทางจิตเวชและการผ่าตัดแปลงเพศ อย่างไรก็ตาม การที่กรีซเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้ผู้ชุมนุมมองว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวขัดต่อจริยธรรมประเพณี สวนทางกับความเชื่อทางศาสนา และขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ หากได้รับการอนุมัติ กรีซจะกลายเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ประเทศแรกที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน
สำนักข่าว Anadolu Agency ของตุรกี รายงานเมื่อ 11 ก.พ.67 ว่า ประชาชนในหลายประเทศทั่วยุโรปยังคงออกมาชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์และประท้วงการกระทำของอิสราเอลและพันธมิตร โดยเมื่อ 10 ก.พ.67 ประชาชนออกไปรวมตัวประท้วงที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ผู้ชุมนุมถือธงปาเลสไตน์และป้ายข้อความ “หยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” “เสรีภาพในฉนวนกาซา” และ “อิสราเอลเป็นผู้ก่อการร้าย”เช่นเดียวกับที่กรุงโรม อิตาลี ประชาชนจำนวนหลายร้อยคนไปรวมตัวกันที่ Fori Imperiali Avenue เพื่อประท้วงและเรียกร้องให้ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ ขณะที่ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ชุมนุมได้เดินขบวนประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ก่อนจะไปยุติที่ด้านหน้าสํานักงานสหประชาชาติ เช่นเดียวกับที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส และกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ที่มีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้หยุดยิงทันทีและยุติการเหยียดเชื้อชาติและความหวาดกลัวชาวต่างชาติ
สำนักข่าวThmey Thmey ของกัมพูชา รายงานเมื่อ 11 ก.พ.67 อ้างรายงานของสมาพันธ์ข้าวกัมพูชา (Cambodia Rice Federation-CRF) ว่า เมื่อห้วง ม.ค.67 กัมพูชาส่งออกข้าว 46,221 ตัน มูลค่า 32.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปยัง 42 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากห้วงเดียวกันของเมื่อปี 2566 โดยส่งออกไปยังประเทศในยุโรปมากที่สุด 25,005 ตัน มูลค่า 8.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 54 ของการส่งออกข้าวของกัมพูชา รองลงมาได้แก่ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 11,999 ตัน (มูลค่า 8.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จีน 5,171 ตัน (มูลค่า 2.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และประเทศอื่น ๆ อาทิ แอฟริกา ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ ออสเตรเลีย…
สำนักข่าว Channel News Asia รายงานเมื่อ 10 ก.พ.67 ว่า คณะผู้พิพากษาศาลสูงมาเลเซีย มีมติ 8 ต่อ 1 เสียง ตัดสินให้กฎหมายชารีอะฮ์ที่บังคับใช้ในรัฐกลันตัน 16 มาตรา อาทิ การประพฤติผิดเพศเดียวกัน การประพฤติผิดในหมู่เครือญาติ การพนัน การล่วงละเมิดทางเพศ การลบหลู่ศาสนสถาน ให้ถือเป็นโมฆะ เพราะทับซ้อนกับเขตอำนาจของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ครอบคลุมประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยืนยันว่า คำตัดสินของศาลไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นการพิจารณาขอบเขตการใช้อำนาจของรัฐบาลรัฐกลันตันในการบัญญัติกฎหมาย ทั้งยังเรียกร้องให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเฉพาะพรรคปาสซึ่งมีอิทธิพลในรัฐกลันตัน อย่าใช้ประเด็นดังกล่าวเป็นเครื่องมือลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หรือชี้นำให้ประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลต่อต้านกฎหมายชารีอะฮ์ ทั้งนี้นายฮัมซา ไซนูดิน เลขาธิการกลุ่มพันธมิตรแห่งชาติ (Perikatan Nasional-PN/กลุ่มพรรคฝ่ายค้าน) โจมตีคำตัดสินของศาลว่าทำร้ายความรู้สึกของชาวมาเลย์มุสลิม และเป็นความท้าทายต่อทุกรัฐในการออกกฎหมายชารีอะฮ์เพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม
The Intelligence Weekly Review นำเสนอความเคลื่อนไหวประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นรอบโลกในแต่ละภูมิภาคให้ท่านผู้ฟังรู้ทันเหตุการณ์ เห็นความสำคัญ และนำมุมมองของเราไปใช้ประโยชน์กันต่อไป