สำนักข่าวซินหัวและGlobaltimes รายงานเมื่อ 18 พ.ค. 66 อ้างกระทรวงการต่างประเทศจีน เผยแพร่รายงานเรื่อง “America’s Coercive Diplomacy and Its Harm,” วิจารณ์บทบาทและการใช้การทูตเชิงบังคับ (Coercive Diplomacy) ของสหรัฐฯ โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1) นิยามและประวัติการใช้การทูตเชิงบังคับของสหรัฐฯ ต่อลาว คิวบา เวียดนาม เวเนซูเอลา เกาหลีเหนือ อิหร่าน รัสเซีย เบลารุส จีน อินเดีย และประเทศในแอฟริกาตั้งแต่ปี 2513 ถึงปัจจุบัน
2) รูปแบบการทูตเชิงบังคับของสหรัฐฯ ที่พยายามควบคุมระบบการเงินโลก การได้รับสิทธิวีโต้ในที่ประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อกีดกันทางการค้า การใช้อำนาจรัฐนอกดินแดน (Long-arm jurisdiction) เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว และการใช้ Soft power รวมทั้งการนำประเด็นประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้าม และการแทรกซึมเข้าไปในองค์กรต่าง ๆ โดยหน่วยความมั่นคงของสหรัฐฯ
และ 3) ความเสียหายจากการใช้การทูตเชิงบังคับของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้เกิดการติดขัด รวมทั้งการกีดกันทางเศรษฐกิจต่อประเทศกำลังพัฒนา กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และ BRICS
ทั้งนี้ รายงานดังกล่าวระบุถึงบทบาทและจุดยืนของจีนที่สนับสนุนการต่อต้านระบบขั้วอำนาจเดียวและการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว รวมทั้งไม่แทรกแซงและเคารพระบบการปกครองของชาติอื่น โดยจีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ พิจารณาตนเอง แก้ไขพฤติกรรมการใช้การทูตเชิงบังคับ และดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรม