การที่กองทัพอิสราเอลเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮะมาสในฉนวนกาซา โดยเฉพาะการโจมตีในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีรายงานพลเรือนชาวปาเลสไตน์ได้รับผลกระทบจำนวนมาก จึงปรากฏกระแสนานาชาติเพิ่มการเรียกร้องให้อิสราเอลให้ความสำคัญกับการปกป้องพลเรือน และการเปิดโอกาสให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งยังไม่มีแนวโน้มจะสิ้นสุดโดยเร็ว แม้คู่ขัดแย้งจะส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ซึ่งดำเนินการโดยคู่ขัดแย้งและประเทศที่สาม ได้แก่ อียิปต์ กาตาร์ และสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่บรรลุผล
ปัจจุบัน (15 ก.พ.67) มีรายงานพลเรือนชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจากความขัดแย้งครั้งนี้มากกว่า 28,500 คน เป็นเยาวชนและเด็กมากกว่า 12,000 ราย และพลเรือนจำนวนมากเผชิญอุปสรรคในการอพยพไปยังพื้นที่ตอนใต้ของฉนวนกาซา ซึ่งก็ยังตกเป็นเป้าโจมตีจากกองทัพอิสราเอลอยู่อย่างต่อเนื่อง
ปฏิบัติการโจมตีของกองทัพอิสราเอลนอกพื้นที่ฉนวนกาซาก็มีแนวโน้มตึงเครียดขึ้น โดยเฉพาะทางตอนใต้ของเลบานอน มีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลปะทะกับกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ที่เคลื่อนไหวอยู่ในเลบานอน ทำให้มีทหารอิสราเอลเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
กรณีอิสราเอลประกาศว่าสามารถช่วยเหลือตัวประกันได้จำนวน 2 ราย จากการปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดิน ควบคู่กับการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ Rafah ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาเมื่อ 12 ก.พ.67 อาจเป็นอุปสรรคในการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันกับกลุ่มฮะมาส เนื่องจากมีรายงานว่าพลเรือนชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว และการโจมตีมีขึ้นในช่วงที่ชาวปาเลสไตน์อพยพไปยังพื้นที่ Rafah เพราะเชื่อว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย
การเจรจาเพื่อทำข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวครั้งล่าสุดเมื่อ 13 ก.พ.67 ยังไม่บรรลุผล โดยการเจรจามีขึ้นที่กรุงไคโร อียิปต์ มีผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) เข้าร่วมด้วย สำหรับเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเจรจาไม่สำเร็จ คือ ข้อเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีในพื้นที่ Rafah เพราะมีพลเรือนอยู่จำนวนมากกว่า 1 ล้านคน แนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้งในฉนวนกาซาจึงน่าจะยืดเยื้อต่อไป