เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว เมื่อวานนี้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้นักท่องเที่ยวจาก 93 ประเทศเดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นอีก 36 ประเทศจากเดิมที่อนุญาตไว้ 57 ประเทศ อีกทั้งยังขยายเวลาอยู่ในประเทศได้จาก 30 วันเป็น 60 วัน
ยังมีมาตรการที่โดดเด่นอีกคือการให้วีซ่าที่เรียกว่า DTV หรือ Destination Thailand Visa แก่กลุ่มคนที่มีทักษะสูงและพวกอาชีพอิสระ เช่น พวกกราฟฟิกดีไซเนอร์ แอดมินที่ทำงานหลังบ้านแพลตฟอร์มดังๆ หรือพวกมาเรียนมวยไทย ทำอาหารไทย เหล่านี้จะได้วีซ่า 180 วันต่อได้อีกทีละ 180 วัน จนถึง 5 ปี ยังมีการขยายเวลาอยู่ในไทยให้กับนักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้อยู่ต่อได้ 1 ปีเพื่อหางาน ท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับทันที
เข้าใจได้ว่าประเทศไทยต้องการเงินจากการท่องเที่ยว เพราะเป็นเครื่องจักรตัวสำคัญที่ยังทำงานลากจูงประเทศไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ได้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มีสิ่งที่ควรพูดถึงคือ
1) การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบางในตัวเอง ภาพลักษณ์ของประเทศมีความสำคัญ วันหนึ่งเครื่องบินสิงค์โปร์มาลงฉุกเฉิน เราดูแลได้เป็นอย่างดีภาพลักษณ์ก็ออกมาดี นายกสิงคโปร์โทรมาขอบคุณ ข่าวดีๆ ออกไปทั่วโลกนักท่องเที่ยวก็อยากมา ในทางกลับกันหากวันนั้นเราพลาดเพราะไม่พร้อมรับหรือโชคไม่ดีมีพายุฝนน้ำท่วมรถติดคนเจ็บไปโรงพยาบาลไม่ทันผลย่อมออกมาตรงกันข้าม
2) ท่ามกลางความขัดแย้งในโลกไม่ว่าจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างรัสเซียกับยูเครน อิสราเอลกับปาเลสไตน์ หรือสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ นำมาซึ่งการกีดกันและแบ่งแยกห่วงโซ่การผลิต ทั้งหมดล้วนทำให้เกิดความขัดแย้ง ความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ความเสียหาย และความเคียดแค้น และเมื่อคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายแข็งแรงไม่เท่ากันมักจะมีฝ่ายหนึ่งหันไปใช้วิธีเดิมๆ คือการก่อการร้ายในการต่อสู้ทวงคืนความเป็นธรรม
3) ประเทศไทยเคยได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของผู้ก่อการร้ายเพราะข้อแรกมีเป้าหมายในฝ่ายตรงข้ามให้เลือกโจมตีอยู่มากมาย ข้อถัดมาคนไทยนั้นใจดี เป็นมิตรไม่หวาดระแวงคนแปลกหน้า จึงมักอ่อนแอในการสังเกตพบและแจ้งเบาะแสที่ผิดปกติ และข้อสุดท้ายการมีมาตรการบังคับใช่กฎหมายแบบที่ต่างชาติเข้าใจว่า “เคลียร์ได้” ทำให้ไม่ค่อยมีใครเกรงกลัวความผิด
ที่ว่ามายืดยาวนั้นไม่ได้เห็นต่างกับมาตรการปล่อยฟรีวีซ่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ให้ตระหนักว่า ณ ขณะนี้สภาพแวดล้อมภายนอกเป็นอย่างไร ในเมื่อเป็นนโยบายของรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าบนพื้นฐานว่าเมื่อมีได้ก็ย่อมมีเสีย มีเสี่ยงบ้างแลกกันไป สำคัญคือจะจำกัดและลดความเสี่ยงลงได้อย่างไร โดยเฉพาะการท่องเที่ยวนั้นเป็นอะไรที่เปราะบาง จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากันมากมายหลายสิบล้านอาจหายวับไปทันทีหากมีข่าวร้ายเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
แต่เหตุการณ์ก่อการร้ายก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ จะต้องมีความมุ่งหมาย มีเป้าหมาย มีทีมงาน มีการฝึกฝน และมีวัสดุอุปกรณ์ที่พร้อม แต่เหตุก่อการร้ายในไทยในอดีตที่สำเร็จไปแล้วหรือที่เคยกำลังจะเกิดแต่ถูกขัดขวางไป มันอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ก่อการร้ายอยากลงมือทำอีกเช่นเดียวกับแผนการที่เคยวางไว้แต่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาปฏิบัติซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการผ่อนคลายมาตรการควบคุมดูแลคนต่างชาติเป็น “แรงจูงใจ”ที่ดีให้มีการหยิบแผนที่เคยวางไว้ขึ้นมาปัดฝุ่นเพื่อลงมือปฏิบัติได้
ในบรรดาผู้ก่อการร้ายมืออาชีพที่เคยมาลงมือในไทยหากเป็นมือระดับพระกาฬที่สุดก็ต้องยกให้กลุ่มที่กำลังต่อกรกับอิสราเอลอยู่ตอนนี้ พวกนี้ทำงานคุณภาพ ไม่เอาแบบสุกเอาเผากิน ต้องเนียน มีการแปลงสัญชาติมาฝังตัวเฝ้าดูเป้าหมายอยู่เป็นปีๆ ที่เคยปลอมเป็นนักมวยมาเรียนมวยไทยอยู่เป็นปีก็มี อย่างนี้ต่อไปเมื่อเรามี DTV ถ้าไม่มีฐานข้อมูลที่ดีเขาก็จะเข้ามาได้สะดวกขึ้น
เพื่อให้นโยบายของรัฐบาลเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องดูแลความปลอดภัยในบ้านแต่ถามว่าไหวมั้ยกับการข่าวที่จะต้องเป็นหูเป็นตาเฝ้าระวังไม่ให้มีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น บางคนพูดบ่อยๆว่าต้องทำงานให้คุ้มภาษีถ้าคนน้อยก็ใช้เทคโนโลยีสิ เรื่องนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขาใช้เทคโนโลยีดีที่สุดเท่าที่สตุ้งสตางค์จะมีซื้อหามาใช้ได้แต่ไม่มีใครบอกหรอกว่าล้ำหน้าหรือล้าหลังใครแค่ไหน การทำงานข่าวนั้นขี้เกียจไม่ได้เพราะแข่งกับเวลา กับความเป็นความตาย ดังนั้นใครที่คิดจะทำงานแบบ routine จึงไม่เหมาะที่จะเข้าวงการนี้
ท่ามกลางการหลั่งไหลเข้ามาของคนต่างชาติจำนวนมาก การมี “ข้อมูล” เบื้องต้นคือการลดความเสี่ยงของการก่อการร้าย ข้อมูลที่มีคุณค่าจะบอกได้ว่ามีคนไม่ดีแอบแฝงเข้ามาหรือไม่? อย่างไร? ซึ่งก่อนหน้านี้ยังพอรู้ล่วงหน้าได้จากการขอวีซ่าแต่เดี๋ยวนี้พอวีซ่าฟรีเป็นส่วนใหญ่อีกทั้งมีการเร่งกระบวนการเพื่อไม่ให้คิวยาว หน้างานจึงเป็น “เชิงรับ” มากกว่า “เชิงรุก” คือเข้ามาก่อน หากมีปัญหาค่อยไปตามไล่จับเอาทีหลังก็สนุกไปอีกแบบแต่คนทำงานน่าจะเหนื่อย
ไม่ว่าอย่างไร เพื่อตอบสนองนโยบาย ทุกภาคส่วนของงานการข่าวคงต้องปรับตัวให้ได้ ต้องเป็นมากกว่าแค่เอาเทคโนโลยีมาใช้แต่ต้องคิดไปถึงการประยุกต์ใช้กับคนและองค์กรให้สัมพันธ์กันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่พร้อมรับโลกของความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน เหมือนกับแพลตฟอร์มที่สามารถคิดคำนวณเพื่อเติมเต็มทุกส่วนที่มาใช้บริการได้ตามที่เขาควรได้รับ