นาทีนี้เสียงเรียกร้องให้คุณปู่ไบเดนถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐมีมากขึ้น เพราะขืนสู้ต่อไปก็แพ้อยู่ดีเพราะอยู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทรัมพ์ซึ่งมีคะแนนนำไบเดนอยู่แล้วนิดๆ กลับมีคะแนนนำทิ้งห่างออกไป เหตุการณ์ที่ว่าก็คือการลอบสังหารทรัมพ์ระหว่างปราศรัยที่เพนซิลวาเนียแต่กระสุนพลาดเป้า แล้วแทนที่ทรัมพ์จะตกอกตกใจวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแต่เจากลับมีสติแล้วชูกำปั้นในอากาศ ร้องว่า “สู้ สู้..” มันช่างได้ใจคนดีแท้ว่านี่คืออเมริกันใจเด็ดเหมาะสมจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของคนอเมริกันและโลก เล่นเอาคุณปู่ไบเดนที่เดินก็ไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้วตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทันทีเหมือนกับคนที่มารับกระสุนไปแทนจนล้มทั้งยืน
อันที่จริงทรัมพ์ก็เหมือนคนทั่วไป เกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดาแต่การที่เขาสามารถดึงสติกลับคืนได้เร็ว อาจเป็นเพราะตอนที่โดนทีมอารักขาของ Secret Services เข้าไปกอดปล้ำบังกระสุนทำให้รองเท้าของหลุดไป ก็เลยร้องหา “รองเท้าฉันๆ” สงสัยคู่นี้คงแพง หรือไม่ก็เป็นคู่เก่ง มันจึงสำคัญมากแต่มันก็ช่วยดึงสติของทรัมพ์กลับมาได้และนี่คือบทพิสูจน์ของความเป็นนักฉวยโอกาสที่ไม่ปล่อยให้นาทีทองหลุดรอดไป มันจึงออกมาเป็นภาพทรัมพ์บาดเจ็บเลือดไหลแต่ยังชูกำปั้นภายใต้ธงชาติสหรัฐที่กำลังไวรัลอยู่ในโลกออนไลน์ขณะนี้
ตอนนี้เป็นภาระหนักของเดโมเครตที่จะต้องหาทางพลิกเกมให้กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ มิเช่นนั้นก็จะต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เอาเป็นว่าคอยดูการดีเบตครั้งต่อๆไปว่าคุณปู่ไบเดนจะมีกลเม็ดเด็ดพลายอะไรออกมาสู้ แต่ไม่ว่าจะงัดกลยุทธ์อะไรออกมาสู้ก็น่าจะกระทำบนบริบทที่ต้องมีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครเท่านั้นที่อาจทำให้การแข่งขันดูสูสีกันได้ แต่เชื่อเถอะคนอเมริกันแท้เขาจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ เดโมเครตก็คือเดโมเครตจะไม่ย้ายข้างไปรีพับลิกันถึงเลือกตั้งจะแพ้ก็ให้มันแพ้ไป หากทรัมพ์ชนะอยากมากก็อยู่ได้ตามเทอมแล้วก็จะต้องเลือกใหม่ถึงตอนนั้นประชาชนค่อยตัดสินใจเอาอีกที นี่คือสปิริตของประชาธิปไตยที่ฝรั่งเขามี
ทีนี้มาดูว่าถ้าหากทรัมพ์ชนะเลือกตั้ง อะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง ก็ต้องพูดถึง Project 2025 ซึ่งมันคือข้อเสนอ 900 หน้าของมูลนิธิ Heritage Foundation ซึ่งเป็นคลังสมองของพวกหัวอนุรักษ์นิยมริพับลิกันเพื่อให้ที่ประชุมพรรคอนุมัติก่อนนำไปบริหารงานภายใต้รัฐบาลใหม่ ซึ่งสาระหลักๆ คือการปลดข้าราชการเป็นพันๆ ออกจากตำแหน่งแล้วเอาเอกชนเข้ามาบริหารแทน ตามด้วยการเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดี การยุบกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ แล้วไปให้ความสำคัญกับการควบคุมผู้อพยพจากต่างถิ่น
นอกจากนี้จะยกเลิกมาตรการปรับลดภาษีต่างๆ ห้ามผลิตสิ่งลามกอนาจาร หรือการห้ามการทำแท้งเสรีซึ่งยังเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอยู่และบางอย่างก็เกินเลยกว่านโยบายของพรรคในขณะที่ทรัมพ์เองก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องและพยายามเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีทั้งๆ ที่ต้นความคิดล้วนมาจากทีมงานเก่าของทรัมพ์สมัยที่เป็นประธานาธิบดี
ถ้าหากทรัมพ์ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี เขาก็จะคิดแบบนักธุรกิจที่ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีผลตอบแทนเป็นกำไร ดังนั้นเขาจะนำประเทศออกจากกระบวนการลดคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดโลกร้อนแล้วหันไปเร่งการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้น ด้านสังคมก็จะเข้มงวดกับผู้อพยพ ยุติความหลากหลายและเท่าเทียมกันในสังคมรวมทั้งลดทอนสิทธิของ LGBT ในด้านต่างประเทศแน่นอนว่ายูเครนจะไม่ได้รับการสนับสนุนและอาจต้องยอมเสียดินแดนให้กับรัสเซียเพื่อยุติสงคราม ในส่วนของจีนก็จะถูกเข้มงวดจนสงครามการค้ากับสหรัฐรุนแรงขึ้นมาอีก ในขณะที่ไต้หวันจะถูกสหรัฐทอดทิ้งเห็นได้จากคำพูดของทรัมพ์ที่ว่าถ้าจะให้สหรัฐคุ้มครองไต้หวันก็ต้องจ่ายค่าคุ้มครองจนไต้หวันต้องออกมาโต้ว่าความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างไต้หวันกับสหรัฐไม่อาจตีค่าเป็นตัวเงิน
Project 2025 ถูกเปิดเผยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และถึงตอนนี้กำลังถูกประชาชนวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นแนวคิดที่ทำลายสหรัฐอเมริกาและดูเหมือนว่าฝั่งเดโมเครตกำลังหยิบเรื่องนี้ขึ้นมารณรงค์เพื่อให้คนออกมาต่อต้านทรัมพ์ซึ่งอาจเรียกคะแนนเสียงกลับมาได้ดีกว่าการชูไบเดนขึ้นมาสู้กับทรัมพ์
สำหรับไทยเราถ้าหากทรัมพ์กลับมาสิ่งแรกที่ต้องเจอคือมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐทำให้ส่งออกเรามีปัญหา หรือการที่ต้องแข่งขันมากขึ้นกับอุตสาหกรรมและสร้างงานในประเทศ รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตกลับไปสหรัฐหรือพันธมิตรอย่างเวียดนาม ที่สำคัญคือการถูกมองว่าใกล้ชิดกับจีนเกินไปจะทำให้เราโดนหางเลขทางอ้อมในเชิงถูกกีดกันทางการค้าหรือห่วงโซ่การผลิต ดังนั้นการวางตัวของเราที่ว่าเป็นกลางอาจต้องเพิ่มความละเอียดอ่อนในความเป็นกลางที่เขายอมรับด้วย
Credit TB-Talk