อิสราเอลและกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน ยอมรับข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวในเลบานอน เมื่อ 26 พ.ย.67 โดยจะมีผลบังคับใช้ 27 พ.ย.67 เพื่อบรรเทาความสูญเสียและลดระดับความตึงเครียดด้านความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดนของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทหลักในการเสนอและผลักดันข้อตกลงดังกล่าว มีถ้อยแถลงร่วมกันว่า ข้อตกลงนี้จะนำไปสู่การหยุดยิงถาวร และทำให้ประชาชนในทั้ง 2 ประเทศปลอดภัยในพื้นที่ Blue Line ซึ่งหมายถึงบริเวณพรมแดนของอิสราเอลและเลบานอน ที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในอันตราย เพราะการโจมตีตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้น่าจะเป็นผลดีอย่างมากต่อพลเรือนชาวเลบานอน เนื่องจากตกอยู่ในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงตั้งแต่ ก.ย.67
สำหรับข้อตกลงดังกล่าว อิสราเอลและกลุ่มฮิซบุลลอฮ์จะหยุดยิงเป็นเวลา 60 วัน เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ระยะ 40 กิโลเมตรจากพรมแดนอิสราเอล-เลบานอน ขณะที่รัฐบาลเลบานอนจะต้องควบคุมความเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ไม่ให้ไปรวมกลุ่มกันบริเวณตอนใต้ของประเทศ โดยจะมีกองกำลังเพื่อสันติภาพของสหประชาชาติ คณะกรรมาธิการนานาชาติ และกองทัพเลบานอนร่วมติดตามคาวมเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ครั้งนี้ ด้านอิสราเอลย้ำว่าจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อไป หากกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ไม่ทำตามข้อตกลง
นานาชาติยินดีที่คู่ขัดแย้งทำข้อตกลงหยุดยิงได้สำเร็จ และสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง เพื่อเป็นขั้นตอนเริ่มต้นสู่สันติภาพ และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ด้านนายกรัฐมนตรีเลบานอนโทรศัพท์หารือกับผู้นำสหรัฐฯ พร้อมกับขอบคุณสหรัฐฯ และฝรั่งเศสที่ผลักดันข้อตกลงครั้งนี้ และย้ำว่าเลบานอนจะสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว ด้วยการตรึงกำลังทหารบริเวณตอนใต้ของประเทศ เพื่อควบคุมสถานการณ์ความมั่นคง และให้เป็นไปตามมติของสหประชาชาติ 1701 ที่ระบุว่า “ห้ามกองกำลังใดปฏิบัติการในดินแดนของเลบานอน”
แม้สถานการณ์ในเลบานอนจะคลี่คลาย แต่การปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซายังไม่ยุติ หลายฝ่ายเชื่อว่าอิสราเอลจะยังไม่สนใจทำข้อตกลงกับกลุ่มฮะมาส และชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ยังเผชิญความรุนแรงต่อไป โดยมีรายงานเมื่อ 27 พ.ย.67 ว่าอิสราเอลใช้โดรนไล่ยิงสังหารชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันฉนวนกาซาเผชิญเหตุอุทกภัยจากฝนตกหนัก ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมรุนแรงมากขึ้น