การเมืองในเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของยุโรป กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังจากนาย Olaf Scholz นายกรัฐมนตรีเยอรมนีพ่ายแพ้ต่อมติไม่ไว้วางใจในรัฐสภาในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงเป็นจุดเปลี่ยนในรัฐบาลเยอรมัน แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมในยุโรปที่น่าจับตามอง และมีข้อสังเกตเป็นที่วิจารณ์กันว่านายกรัฐมนตรีเยอรมนีเต็มใจให้มีการลงมติพ่ายแพ้ เพื่อพรรคคริสเตียนเดโมแครต จะได้กลับมาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2568
มติไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นกับนาย Olaf Scholz นายกรัฐมนตรีเยอรมันในครั้งนี้ เป็นผลมาจากความขัดแย้งในนโยบายด้านเศรษฐกิจและพลังงานที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ยุโรปเผชิญกับวิกฤตพลังงานและภาวะเงินเฟ้อ หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีลดลง และเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เริ่มมีแรงกดดันจากฝ่ายค้านและเสียงวิจารณ์จากพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มขึ้น รัฐบาลก็เริ่มระส่ำระสายจากการที่นายกรัฐมนตรี Olaf Scholz ปลดนาย Christian Lindner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค Free Democratic Party (FDP) เพราะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีกระเตื้องขึ้นได้
การลงมติในรัฐสภาเยอรมันเป็นกระบวนการที่แสดงถึงความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย แต่บางครั้งก็เป็นจุดอ่อนในการบริหารประเทศเช่นในครั้งนี้ กลับสะท้อนถึงความไม่เป็นเอกภาพในรัฐบาลผสม ซึ่งประกอบด้วย พรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD), พรรค The Greens และพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) ที่มีแนวคิดแตกต่างกัน ความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกฝ่ายค้านหยิบยกมาโจมตี
ผลกระทบต่อการเมืองในเยอรมนีและบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ ความพ่ายแพ้ในมติไม่ไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรี Olaf Scholz หัวหน้าพรรค SPD ในครั้งนี้ นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งใหม่ในกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับพรรคการเมืองต่าง ๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชน ทั้งนี้ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบการเมืองของเยอรมัน คือ วิกฤตเศรษฐกิจ การแบกรับภาระด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลในเยอรมนีอาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของเยอรมนีที่เป็นแกนนำในสหภาพยุโรป (EU) ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การจัดการปัญหาผู้อพยพ หรือแรงสนับสนุนให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย และตะวันออกกลาง คลี่คลายลง
เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศยุโรป หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และสงครามในยูเครน ประชาชนในหลายประเทศเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของรัฐบาล และต้องการความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้มากขึ้น ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้นำในฝรั่งเศส (ประธานาธิบดี Macron เผชิญกับแรงต้านจากนโยบายปฏิรูปเงินบำนาญ ) อิตาลี (การล่มสลายของรัฐบาลผสมและการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลขวาที่นำโดยนายกรัฐมนตรีอิตาลี Giorgia Meloni) หรือแม้แต่โปแลนด์ (ฝ่ายค้านสามารถชนะการเลือกตั้งครั้งสำคัญหลังครองอำนาจมาหลายปีโดยพรรคฝ่ายขวา)
ความพ่ายแพ้ในมติไม่ไว้วางใจของนายกรัฐมนตรีเยอรมันครั้งนี้ เป็นมากกว่าเหตุการณ์ภายในประเทศ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สะท้อนถึงความท้าทายของการเมืองในยุโรปโดยรวม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองในเยอรมนีต้องปรับตัวเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับรัฐบาลในยุโรปที่ต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนในยุคแห่งความไม่แน่นอน การเมืองเยอรมันครั้งนี้อาจเป็นตัวอย่างของการเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น หากรัฐบาลใหม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นและดำเนินนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง