2 เมษายนนี้จะเป็นวันปลดแอกของสหรัฐ ถ้าเอาตามที่พี่ทรัมพ์ว่า วันนั้นจะมีการประกาศแพ็คเกตรายชื่อกับรายการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐโดยเล็งไปที่ 15 ประเทศแรกที่สหรัฐมองว่าเอาเปรียบเขาก่อน จากนั้นยังไม่รู้ว่าจะมีมาตรการอะไรตามมาอีก และเชื่อได้ว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะโดนขึ้นภาษีเป็นผลให้สินค้าไทยมีราคาแพงขึ้นจนกระทบต่อยอดการส่งออกซึ่งเป็นตัวค้ำจุนเศรษฐกิจไทยที่ลุ่มๆดอนๆอยู่ขณะนี้ให้ต่ำเตี้ยลงไปอีก ถึงตอนนี้หลายๆคนคงอยากรู้ว่าทรัมพ์จะทำอะไรอีกที่จะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก
มาร์อะลาโก้ คือ คำตอบ เพราะมันคือแนวทางการจัดระเบียบการเงินใหม่ที่สหรัฐจะนำมาใช้กับประเทศต่างๆโดยมีจุดหมายเพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐดีขึ้นด้วยการลดการขาดดุลกับลดหนี้
มาร์อะลาโก้ คือชื่อรีสอร์ตของทรัมพ์ในฟลอริดาที่ๆบรรดากุนซือทางการเงินของทรัมพ์ไปสุมหัวกันคิดกติกาใหม่ขึ้นมา มันไม่ใช่ความตกลงอะไรเป็นทางการ ไม่มีการลงนามรับรองใดๆ แต่มันคือย่างก้าวใหม่ของสหรัฐที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระดับเดียวกับความตกลงเบรตตันวูดส์และพลาซ่าแอคคอร์ด
เบรตตันวูดส์เกิดขึ้นเมื่อปี 1944 ผลของมันคือทุกประเทศยอมรับหลักการใช้ทองคำหนุนหลังเงินตราอันทำให้ดอลล่าร์สหรัฐกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก ส่วนความตกลงพลาซ่าทำขึ้นที่โรงแรมพลาซ่าในนิวยอร์กเมื่อปี 1985 ระหว่าง 5 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจตอนนั้นผลที่เกิดคือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงในขณะที่เงินเยนญี่ปุ่นแข็งจนทำให้ญี่ปุ่นเกิด 3 ทศวรรษทางเศรษฐกิจที่สูญหาย และคราวนี้ปี 2025 ที่มาร์อะลาโก้ สหรัฐจะใช้พันธบัตร 100 ปีกับเงินดิจิทัลและบิทคอยมาหนุนเศรษฐกิจของตนเอง
เป้าหมายหลักของมาร์อะลาโก้ คือการใช้ tariff หรือภาษีนำเข้าเป็นตัวบีบให้ประเทศคู่ค้าต้องลดภาษีหรือการกีดกันทางการค้าลงมาในระดับที่เท่าๆ กัน หรือใครที่อยากจะได้สิทธิพิเศษก็จะต้องถือพันธบัตรระยะยาว 100 ปีไว้ นอกจากนั้นเศรษฐกิจกับความมั่นคงจะแยกกันไม่ได้ หมายความว่าการคุ้มครองความมั่นคงของบางประเทศ (เช่น ไต้หวัน) จากกองทัพสหรัฐจะไม่ใช่ของฟรีอีกต่อไป
แม้ว่าในเบื้องต้น ตลาดหุ้นอาจตกบ้าง หรือประชาชนสหรัฐต้องใช้ของแพงขึ้น แต่มันสมองของทรัมพ์ที่คิดเรื่องเหล่านี้เชื่อว่าความเจ็บปวดอาจมีบ้างตอนต้น หากอดทนหน่อยก็จะเกิด “การเปลี่ยนผ่าน” ไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตของสหรัฐกลับคืนมา และสหรัฐจะไม่ส่งเสริมการใช้แรงงานถูกเพื่อลดต้นทุนการผลิตเพราะจะไม่เกิดนวัตกรรม ด้วยเหตุนี้สหรัฐจึงกวาดผู้อพยพส่งออกไปอย่างไม่ใยดี
ต่อนี้ไประบบการค้าเสรีของโลกที่อุตส่าห์เจรจาลงนามกันมาทั้งหลายอาจไม่มีความหมาย หรือถ้าหากประเทศอื่นคิดจะจับมือกันค้าขายกันเองสหรัฐก็ไม่สนเพราะ “ลูกค้าต้องเป็นใหญ่” ใครจะไม่ค้าขายกับสหรัฐก็ไม่เป็นไรแต่อย่าลืมว่าสหรัฐคือตลาดใหญ่ คนอเมริกันบริโภคมากจนเกินตัวขณะที่จีนผลิตจนล้นแต่คนจีนกลับไม่ค่อยบริโภคของตนเองจนสินค้าต้องทะลักไปตีตลาดภายนอกสร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก
ใครที่คิดจะค้าขายกับสหรัฐคงจะต้องยอมรับกติกาใหม่ของเขาที่จะแบ่งคู่ค้าเป็นเกรดต่างๆ ทีนี่ถ้าของเราที่ขายในอเมริกาแพงขึ้นจนราคาใกล้เคียงกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐ คิดว่าคนอเมริกันจะเลือกใช้สินค้าของใคร แรงจูงใจแบบนี้ประกอบกับการส่งเสริมให้ระบบธนาคารปล่อยกู้มากขึ้นมันก็น่าจะเกิด “การเปลี่ยนผ่าน” ไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีความเข้มแข็งทั้งภาคการผลิตและการบริโภคอย่างที่เขาต้องการ
ในยามนี้ประเทศเล็กๆ อย่างเราคงต้องกระชับจับมือกับคู่ค้าที่เป็นพันธมิตรกันให้ดี ความยากลำบากอาจรออยู่ข้างหน้า เราต้องลดการพึ่งพาต่างชาติและต้องเก่งในเรื่องการค้ากับการเมืองต่างประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่ามิตร ศัตรู หรือคู่แข่ง ถ้าดีลให้ดีก็จะพากันรอดปากเหยี่ยวปากกาไปได้