CyberXplore ปักษ์หลัง มิ.ย.2568
CyberXplore ฉบับปักษ์หลังเดือนมิถุนายน 2568 รายงานสถานการณ์ไซเบอร์รอบโลก รายปักษ์ ทุก 15 วัน
CyberXplore ฉบับปักษ์หลังเดือนมิถุนายน 2568 รายงานสถานการณ์ไซเบอร์รอบโลก รายปักษ์ ทุก 15 วัน
สภาแห่งชาติเวียดนามมีมติเมื่อ 26 มิถุนายน 2568 ประกาศยกเว้นค่าเล่าเรียนในโรงเรียนของรัฐทุกระดับตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมถึงโครงการศึกษาต่อเนื่อง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา ปี 2568-2569 เป็นต้นไป ส่วนโรงเรียนเอกชนจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดยเงินอุดหนุนจะถูกกำหนดตามค่าเล่าเรียนจริง (ไม่เกินค่าเล่าเรียนของโรงเรียนรัฐ) และกำหนดโดยหน่วยงานท้องถิ่นตามหลักเกณฑ์ระดับชาติ กลุ่มเป้าหมายจะครอบคลุมพลเมืองเวียดนามและบุคคลเชื้อสายเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศ แม้จะยังไม่ได้รับสัญชาติเต็มตัว สภาแห่งชาติเวียดนามยังอนุมัติแผนการศึกษาปฐมวัยถ้วนหน้าสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปีภายในปี 2573 และมีแผนสนับสนุนค่าอาหารกลางวันฟรีในโรงเรียนประถมและมัธยมในพื้นที่ชายแดนและภูเขา นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลเวียดนามมีเป้าหมายหลักลดภาระทางการเงินของครอบครัว เฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และส่งเสริมให้เด็กเวียดนามทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของรัฐต่อคนรุ่นใหม่และการลงทุนทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณของรัฐเพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ โดยค่าใช้จ่ายรวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 30.6 ล้านล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับปีการศึกษา 2568-2569 จะมีการจัดสรรงบประมาณเบื้องต้นประมาณ 22.5 ล้านล้านดองเวียดนาม นโยบายนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาของเวียดนาม และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลเวียดนามถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไป สู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยและมีรายได้สูง สะท้อนจากนโยบาย 1) การศึกษาคือรากฐาน จากนโยบายเรียนฟรี และการยกระดับคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต 2) การพัฒนาแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย…
สภาแห่งชาติเวียดนามมีมติอนุมัติแผนการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ (International Financial Center-IFC) มีผลบังคับใช้ใน 1 กันยายน 2568 แผนดังกล่าวเป็นกรอบกฎหมายที่ครอบคลุมสำหรับการจัดตั้ง การดำเนินงาน การกำกับดูแล และการใช้กลไกและนโยบายพิเศษสำหรับ IFC ของเวียดนาม ทั้งนี้ IFC จะพัฒนาในพื้นที่นครโฮจิมินห์ (ตอนใต้) และนครดานัง(ตอนกลาง) ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2588 IFC ของเวียดนาม จะใช้รูปแบบการดำเนินงาน การกำกับดูแล และการบริหารจัดการแบบรวม (unified model) แต่ว่าแต่ละเมืองจะพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ปรับให้เข้ากับจุดแข็งของตน โดยนครโฮจิมินห์จะเน้นการพัฒนาตลาดทุน ธนาคาร และสกุลเงิน ส่วนนครดานังจะเน้นที่การเงินที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ใกล้กับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก IFC มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างบทบาทเวียดนามในเครือข่ายทางการเงินระดับโลก และทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ IFC ยังจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการส่งเสริมด้านการเงินที่ยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว รวมถึงการระดมทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานและโครงการพัฒนาสีเขียว ในมติที่รัฐสภาเวียดนามอนุมัติได้ระบุกลไกและนโยบายพิเศษต่างๆ ในด้านสำคัญๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการดำเนินการด้านธนาคาร ตลาดทุนและแรงจูงใจทางภาษี ความมั่นคงทางสังคมและ การจ้างงาน การใช้ที่ดิน การก่อสร้าง และการจัดการสิ่งแวดล้อม กรอบงานนำร่องที่ควบคุมสำหรับเทคโนโลยีทางการเงินและนวัตกรรม แรงจูงใจสำหรับนักลงทุนเชิงกลยุทธ์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน…
ประธานาธิบดีปราโบโว สุเบียนโตของอินโดนีเซียเมื่อ 29 มิถุนายน 2568 เป็นประธานเปิดโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ขนาดใหญ่ของประเทศ ที่เมือง Karawang เขตการปกครองของชวาตะวันตก ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในมิติเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญระดับ MEGA Project มีการร่วมทุนประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทำให้อินโดนีเซียมีศักยภาพเป็นประเทศที่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปยังตลาดโลก ตลอดจนมีความสามารถในการรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วย ผู้นำอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด โดยใช้จุดแข็งจากการที่อินโดนีเซียเป็นประเทศที่สามารถผลิตแร่นิกเกิล และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อดึงดูดการลงทุน โดยโครงการนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Aneka Tambang (Antam) และบริษัท Indonesia Battery Corporation (IBC) ของอินโดนีเซีย กับบริษัท Ningbo Contemporary Brunp Lygend Co., Ltd. (CBL) ของจีน ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียให้การสนับสนุน บริษัท CBL ของจีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก จะร่วมลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่แบตเตอร์รีและศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาการใช้พลังงานในรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัท…
รัฐสภาอิหร่านเมื่อ 30 มิถุนายน 2568 อนุมัติกฎหมายใหม่ที่จะลงโทษขั้นสูงสุดต่อผู้ที่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อิสราเอล และประเทศคู่ขัดแย้งอื่น ๆ เพื่อบ่อนทำลายหรือขัดขวางความมั่นคงของชาติอิหร่าน กฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้ศาลสามารถพิจารณาโทษประหารชีวิต แก่บุคคลใดก็ตามที่สอบสวนแล้วพบว่ามีพฤติกรรมเป็นภัยคุกคามต่ออิหร่าน ทั้งบ่อนทำลาย ปฏิบัติการลับ เป็นสายลับ หรือดำเนินงานข่าวกรองให้กับสหรัฐฯ และอิสราเอล ตลอดจนห้ามสนับสนุนอิสราเอลหรือมีความร่วมมือกับอิสราเอลทั้งในมิติเศรษฐกิจและเทคโนโลยี อิหร่านยังห้ามประชาชนไม่ให้ใช้สัญญาณดาวเทียมและอินเทอร์เน็ตจาก Starlink เพื่อหลบเลี่ยงการที่รัฐบาลจะถูกตรวจสอบรวมทั้งติดตาม และกำหนดให้พฤติกรรมที่เป็นภัยต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของรัฐ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ รบกวนสัญญาณสื่อสาร และการขัดขวางระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ จะต้องโทษประหารชีวิตด้วย การที่ฝ่ายนิติบัญญัติอิหร่านยกระดับโทษสูงสุด สะท้อนว่ารัฐบาลอิหร่านต้องการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของชาติและระบอบการปกครองด้วยกลไกทางกฎหมาย และป้องกันไม่ให้ประชาชนชาวอิหร่านตกเป็นเครื่องมือของต่างประเทศ โดยเฉพาะอิสราเอลที่ดำเนินงานข่าวกรองในอิหร่าน และมีรายงานอย่างชัดเจนว่าหน่วยข่าวกรองอิสราเอลแฝงตัวเข้าไปในอิหร่าน จนทำให้อิหร่านต้องถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อช่วงกลางมิถุนายน 2568 โดยนอกจากการเพิ่มโทษประหารชีวิต ยังเพิ่มโทษต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยข้อมูล ทำโฆษณาชวนเชื่อ การเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการชุมนุมในช่วงสงครามอีกด้วย กรณีดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่อิหร่านเผชิญความขัดแย้งตึงเครียดกับอิสราเอลและสหรัฐฯ โดยปัจจุบันยังคงมีรายงานการตอบโต้ทางการทหารและการทูตระหว่างกันต่อเนื่อง โดยอิหร่าน-อิสราเอลใช้การตอบโต้ด้วยวิธีการทางทหาร ส่วนอิหร่าน-สหรัฐฯ ใช้การตอบโต้ทางการทูต ล่าสุดเมื่อ 30 มิถุนายน 2568 มีรายงานว่าอิสราเอลโจมตีเรือนจำ Evin ในกรุงเตหะรานของอิหร่าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และทำให้นานาชาติกังวลเพราะเรือนจำดังกล่าวไม่ควรตกเป็นเป้าหมายโจมตีของอิสราเอล เพราะมีชาวต่างชาติอยู่ด้วย และขัดแย้งกับเป้าหมายของอิสราเอลที่ก่อนหน้านี้อ้างว่าจะโจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารและการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ…
Global Gaze ปักษ์หลังเดือนมิถุนายน 2568 รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจรอบโลกพร้อมประเมินแนวโน้ม
รอบรั้วอาคเนย์ Intelligence Report by NIA ฉบับปักษ์หลัง มิถุนายน 2568
รายงานสถานการณ์และบทบาทของผู้นำที่น่าสนใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมประเมินแนวโน้ม
สนข. วอชิงตันโพสต์ รายงานเมื่อ 30 มิ.ย.68 ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันจะไม่ขยายเวลาการระงับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดใน 9 ก.ค.68 และจะส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังประเทศต่าง ๆ ว่าให้รีบเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนครบกำหนด หากไม่ต้องการใช้มาตรการภาษีตอบโต้เพื่อเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ส่วนแนวโน้มกับการเจรจาทางการค้ากับจีน ผู้นำสหรัฐฯ เห็นว่า จีนต้องให้ความเป็นธรรมกับการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยการจ่ายภาษีนำเข้า กับทั้งจะเจรจาเพื่อขอซื้อแอปพลิเคชัน TikTok จากจีน โดยมีกลุ่มทุนรายใหญ่ของสหรัฐฯ พร้อมจะซื้อ นอกจากนี้ ยังระบุถึงอาจจะระงับมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากอิหร่านที่จะส่งไปยังจีน
สนข.ไฟแนนเชียลไทมส์ เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายการคลังของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดทำโดย Kent A. Clark Center for Global Markets มหาวิทยาลัยชิคาโก เมื่อ 30 มิ.ย.68 ระบุว่า ร้อยละ 90 กังวลเกี่ยวกับสถานะของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ห้วง 5 – 10 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการคลังของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งร่างงบประมาณ ปี 2569 ที่สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินเมื่อ 29 มิ.ย.68 ว่า จะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลงบประเมินเพิ่มขึ้นกว่า 3.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งความพยายามในการแทรกแซงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตลอดจนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
เว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดียูเครนเมื่อ 29 มิ.ย.68 รายงานว่า ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ลงนามกฤษฎีกาถอนยูเครนออกจากอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) หรือสนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) เพื่อขจัดข้อจำกัดจากพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาดังกล่าว เพื่อให้ยูเครนป้องกันตนเองได้มากยิ่งขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย และเสริมสร้างสถานะที่ชอบธรรมและเท่าเทียมกับรัสเซีย ซึ่งไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ รมว.กต.ยูเครน อ้างถึงกรณีรัสเซียรุกรานยูเครนว่า มีส่วนผลักดันให้ลัตเวีย ลิทัวเนีย เอสโตเนีย โปแลนด์ และฟินแลนด์ พิจารณาเรื่องการถอนตัวจากอนุสัญญาดังกล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ อนุสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2542 เพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อปกป้องพลเรือนจากภัยหลังสงคราม โดยยูเครนให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าวเมื่อปี 2548 ส่วนไทยให้สัตยาบันเมื่อปี 2541 และมีผลบังคับใช้ต่อไทยตั้งแต่ปี 2542