สงครามดั้งเดิมมีสิ่งชี้ขาดชัยชนะ คือ อาวุธ หรือความสามารถทางการทูต แต่ความเป็นจริงที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ก็คือในยุคสมัยของสงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ที่ทั้งการใช้อาวุธที่เป็นสงครามแบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับสงครามรูปแบบใหม่ เช่น สงครามไซเบอร์ และสงครามข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น นอกจากนี้ มีแนวรบอีกด้านที่กำลังโดดเด่น คือ แนวรบของเรื่องเล่า ซึ่งเป็นแนวรบที่ฝ่ายตรงข้ามมุ่งหมายใช้เป็นอาวุธหลักเพื่อให้ได้เปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้กำลัง
ในสงครามไทย-กัมพูชาในปี 2568 ครั้งนี้ แตกต่างเมื่อปี 2554 เพราะครั้งนี้ นอกจากแนวรบดั้งเดิมที่ตัดสินกันด้วยอาวุธ ยังมีอีกแนวรบหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมาก และเป็นห่วงกันมากว่าไทยดูจะเสียเชิงฝ่ายตรงข้าม และถูกวิจารณ์ว่าเป็นฝ่ายเดินตามหลังคู่ขัดแย้ง นั่นคือ “สงครามเรื่องเล่า” หรือ Narrative Warfare ซึ่งเป็นแนวรบสำคัญที่ไทยยังตั้งรับยังไม่ทัน ได้แต่เพียงตามแก้ในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเปิดเกมรุก
สงครามเรื่องเล่า เป็นแนวคิดทางการทหารและการทูตที่ได้รับการพูดถึงจริงจังในแวดวงความมั่นคงศึกษาทั่วโลกมานาน แต่ดูจะยังเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยที่กำลังรอผลของการนำมาใช้ เฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนใต้ แนวรบสงครามเรื่องเล่าคือ การประกอบสร้าง ปรับแต่ง และเผยแพร่เรื่องเล่า (narrative) อย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อชี้นำการรับรู้ของผู้คนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเป้าหมายเพื่อควบคุมความหมายของเหตุการณ์ หรือกำหนดทิศทางการรับรู้ของสาธารณชน
พูดอีกอย่างคือ สมรภูมินี้ คือการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจในการให้ความหมาย เป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจในการเป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือ “ความจริง”
ขณะที่ปฏิบัติการเรื่องเล่า (Narrative Operation) คือการปฏิบัติการที่มีการวางแผนและประสานงานกัน เพื่อประกอบสร้าง ผลิต และเผยแพร่เรื่องเล่าอย่างมียุทธศาสตร์ผ่านช่องทางที่หลากหลาย คีย์เวิร์ดสำคัญคือคำว่า “มียุทธศาสตร์” ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่เพียงแต่จะผลิตและเผยแพร่ และไม่ใช่การตอบโต้ข้อกล่าวหาหรือรายงานข้อเท็จจริงไปวัน ๆ แต่เป็นปฏิบัติการที่มีการวางแผน และมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ผู้รับสารเชื่อว่าอย่างไร
ความขัดแย้งกับไทยที่เริ่มคุกรุ่นตั้งแต่พฤษภาคม 2568 กัมพูชาปฏิบัติการเรื่องเล่าในความขัดแย้งกับไทย โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ไทยมีภาพลักษณ์การเป็นผู้รังแก ส่วนกัมพูชาคือผู้อ่อนแอที่เป็นเหยื่อ กัมพูชาเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบผ่านหลากหลายช่องทาง ผู้นำ อดีตผู้นำ ภรรยาอดีตผู้นำ ทูตทั่วโลก สื่อมวลชน สื่อออนไลน์ ชาวเน็ต และแก๊งคอลเซนเตอร์ ฯลฯ ทุกคนพูดด้วยสาระสำคัญเดียวกัน ผลิตซ้ำย้ำ ๆ เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการเผยแพร่เรื่องเล่าว่าเป็นฝ่ายที่ถูกรังแก และไทยคือผู้รุกราน
ต่อให้ไทยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ส่งต่อสู่สายตาชาวโลกมากมายเพียงใด แต่ตราบใดที่ยังเป็นฝ่ายตั้งรับ คอยตอบโต้แก้ตัวเพียงอย่างเดียว ก็จะไม่สามารถช่วงชิงความเหนือกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของ “การรับรู้” (perception) ซึ่งสำคัญกว่า “ความจริง”
สาเหตุที่ไทยต้องขยับเข้าสู่แนวรบนี้ และต้องเร่งยกระดับความสามารถอย่างเร่งด่วน เพราะการรับรู้ของประชาคมโลก ส่งผลต่อ “อำนาจต่อรอง” ในเวทีระหว่างประเทศ
การออกข่าวตอบโต้ หรือแถลงข่าวให้สื่อเข้าใจของไทย อาจกล่าวได้ว่าสิ่งนั้นไม่ได้เรียกว่าปฏิบัติการเรื่องเล่า มันเป็นเพียงการตอบโต้ตั้งรับเป็นบางเรื่องบางประเด็นเท่านั้น เพราะปฏิบัติการเรื่องเล่าต้องเป็นการดำเนินการเชิงรุก ที่มีการวางยุทธศาสตร์การสื่อสารระดับชาติ ที่ต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว มีเป้าหมายเดียวกัน มีข้อความหลัก (key message) มีชุดข้อมูลเดียวกัน และมีน้ำเสียงที่สอดคล้องกันในทุกระดับ (เหมือนที่ตระกูลฮุนพูดทุกอย่างย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ในทิศทางเดียวกัน)
หากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เรื่องเล่าของกัมพูชาถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่ไปเรื่อย ๆ เช่น บริเวณพื้นที่ปราสาททั้งหลายเป็นของกัมพูชา (ผสมรวมกับแนวรบอื่นที่กัมพูชาใช้ เช่น การยั่วยุให้ไทยใช้กำลัง และการนำเรื่องสู่เวทีนานาชาติ) จะส่งผลให้ความชอบธรรมของไทยในเวทีระหว่างประเทศจะลดลง และโอกาสที่ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเวทีการทูตระดับโลกจะสูงขึ้น การนิ่งเฉย หรือการรอเป็นฝ่ายตั้งรับ คือการปล่อยให้กัมพูชาสาดยิงกระสุนในสงครามของเรื่องเล่าออกไปเรื่อย ๆ และเมื่อเรื่องเล่านั้นถูกเล่าซ้ำมากพอ มันจะกลายเป็นความจริงในการรับรู้ของผู้คนทั่วโลก
ปัจจัยหนึ่งของชัยชนะของสมรภูมิเรื่องเล่า คือความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เรื่องเล่าที่สื่อสารออกไปอยู่ในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะตอกย้ำซ้ำ ๆ ให้ผู้รับสารรับรู้ ความพยายามแต่ละฝ่ายจึงไม่ควรทำแบบกระจัดกระจาย แนวคิดหนึ่งที่ควรพิจารณาอย่างจริงจังในตอนนี้คือการจัดทำ Narrative Plan หรือแผนเรื่องเล่า ซึ่งมีความแตกต่างจากแผนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐ เพราะต้องมีลักษณะเป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ ที่ออกแบบโดยการบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายต่างประเทศที่ต้องมานั่งวางแผนร่วมกัน ภายใต้การชี้แนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ (หรือเอาให้ทันสมัย ก็ควรจะต้องใช้ media agency เอกชนเข้ามาช่วย)
แผนเรื่องเล่าที่ว่านี้ ต้องตอบคำถามสำคัญ เช่น ข้อความหลัก (key message) คืออะไร (เราอยากให้โลกมองไทยอย่างไร? มองกัมพูชาอย่างไร?) ใครจะเป็นคนเล่าเรื่องบ้าง และเล่าผ่านช่องทางใดบ้าง ตัวชี้วัดคืออะไร จะวัดผลอย่างไรว่าเรื่องเล่าของเราส่งผลต่อการรับรู้จริงหรือไม่
สงครามเรื่องเล่า คือแนวรบของสงครามสมัยใหม่ ที่ไทยต้องกล้ารุก ไม่ใช่แค่รอตั้งรับ การปกป้องอธิปไตยในยุคที่อำนาจด้านการสื่อสารคืออำนาจสูงสุด ต้องให้ความสำคัญกับสงครามเรื่องเล่าในระดับไม่น้อยไปกว่าสงครามที่สู้กันด้วยอาวุธ หากไทยยังไม่เริ่มออกแบบแผนเรื่องเล่าอย่างเป็นระบบ เฉพาะอย่างยิ่งหากยังหาฉันทามติไม่ได้ว่าจะ “เล่า” ว่าอย่างไร เราอาจสูญเสียความชอบธรรมในสายตาประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว