![]()

บุหรี่ไฟฟ้ากำลังเจาะตลาดวัยรุ่นอย่างจริงจัง โดยจะเรียกกันว่า “เวป” (vape) หรือ “พอด” (pod) มีรสชาติและกลิ่นหอมหวาน รูปร่างสวยงามทันสมัย พกพาได้ง่าย มีควันและกลิ่นน้อย ราคาเพียง 300 – 600 บาทต่อเดือน ทั้งยังโฆษณาว่าใช้ทดแทนบุหรี่มวนได้ งานวิจัยของ Nicotine vaping in England เมื่อปี 2565 จาก King’s College London สนับสนุนว่า บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนที่มีสารเคมีกว่า 7,000 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มีสารก่อมะเร็งอย่างน้อย 70 ชนิด ประเทศต่างๆ จึงอนุญาตให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) เตือนเมื่อ ธันวาคม 2566 ถึงภัยจากบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็กและเยาวชน พบว่าเด็กมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้า มากกว่าผู้ใหญ่ถึง 9 เท่า ปัจจุบันตลาดบุหรี่ไฟฟ้ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมีมากถึง 100 ล้านคน และกว่า 15 ล้านคนเป็นวัยรุ่นอายุ 13 – 15 ปี ในไทยพบเด็กและเยาวชนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ที่น่ากังวลยิ่งคือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยพบการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมของยาเสพติด เช่น ยาอี หรือเคตามีน
บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่งเป็นที่นิยม แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจจริง มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดประสิทธิภาพของสมอง และเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้า รวมทั้งมีสารอื่นที่ไม่มีในบุหรี่มวน เช่น โลหะหนักจากขั้นตอนการทำความร้อนจากขดลวดในเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า สารประกอบหลักในน้ำยาที่ ได้แก่ 1) นิโคติน 2) สารตั้งต้น เช่น Propylene Glycol (PG) และ Vegetable Glycerin (VG) ซึ่งเป็นตัวทำละลาย เมื่อโดนความร้อนจะกลายเป็นไอ และทำลายเยื่อบุถุงลมในปอด ทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ และ 3) สารแต่งกลิ่นและรส อาทิ Diacetyl, Acetoin และ Benzaldehyde ซึ่งบางชนิดสามารถทำลายหลอดลมขนาดเล็กได้
งานวิจัยของศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ในระยะสั้นบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายกว่าบุหรี่มวน จากสารแต่งกลิ่น Diacetyl ที่ทำให้เกิดโรคปอดป๊อบคอร์น (ภาวะหลอดลมฝอยอักเสบและเป็นแผลเป็นทำให้ผนังหลอดลมหนาตัวขึ้นและตีบตันอย่างถาวร) และสารสกัดกัญชา หรือวิตามินอีอะซิเตต ที่ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรง ( E-cigarette or Vaping product use-Associated Lung Injury – EVALI)
ขณะนี้มีหลายประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย อาทิ สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ สหภาพยุโรป แคนาดา นิวซีแลนด์ โคลอมเบีย รัสเซีย จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น WHO พบว่ามีถึง 88 ประเทศที่ไม่ได้กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อ และอีก 74 ประเทศ ไม่มีข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าเลย บางประเทศมีการควบคุม เช่น ฟินแลนด์ และลิทัวเนีย ไม่อนุญาตให้ขายน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีรสชาติ
ประเทศในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ อนุญาตให้สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในอินโดนีเซียผู้ซื้อต้องอายุกว่า 18 ปี ในมาเลเซียและฟิลิปปินส์ผู้ซื้อต้องอายุกว่า 21 ปี นอกจากนี้ ยัง จำกัดเวลาหรือสถานที่โฆษณา การห้ามขายออนไลน์ และอนุญาตให้ขายเฉพาะยี่ห้อบุหรี่ไฟฟ้าที่ขึ้นทะเบียนเท่านั้น ส่วนไทย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา และลาว ห้ามการขายบุหรี่ไฟฟ้า (ข้อมูลของ WHO เมื่อปี 2567) ไทยมีบทลงโทษสำหรับผู้ นำเข้า จำหน่าย และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ 1) นำเข้า โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี หรือปรับ 5 เท่าของราคาสินค้า 2) จำหน่าย จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท และ 3) ผู้ครอบครองจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกคือ บุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมยาเสพติดกำลังระบาดในอาเซียน โดยมีส่วนผสมของสารกลุ่มกัญชาสังเคราะห์ สารเอโทมิเดท (บุหรี่ซอมบี้) ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นยาสลบในทางการแพทย์ และพอตเคที่ผสมเคตามีน ยาอี หรือ เมทแอมเฟตามีน สารเหล่านี้ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เมื่อมีการผสมกับน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายิ่งเพิ่มความรุนแรงและอันตรายจะทำให้มีอาการง่วงซึมอย่างรุนแรง สามารถเกิดการหมดสติ หรือหยุดหายใจ และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าที่มีการผสมยาเสพติดเหล่านี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น เฉพาะอย่างยิ่งสายปาร์ตี้ และนักเที่ยวกลางคืน และเพลิดเพลิน
ไทยกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในหมู่เด็กและเยาวชนอย่างมาก จากผลสำรวจการบริโภคยาสูบของเยาวชนไทย (Global Youth Tobacco Survey Thailand: GYTS) ของกรมควบคุมโรค ร่วมกับ WHO และองค์กรอื่น พบว่าอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กไทยอายุ 13 – 15 ปี เพิ่มขึ้น 5.3 เท่าในระยะเวลา 7 ปี (จากร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2565) และปี 2567 มีเยาวชนที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรงจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 100 ราย
เมื่อ กุมภาพันธ์ 2568 ได้พบเด็ก 8 คนมีอาการทางปอดหรือปอดหายที่บุรีรัมย์ ยิ่งไปกว่านั้น จากรายงานการเข้ารับการรักษาการเลิกบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า เทียบกับจำนวนผู้บำบัดยาเสพติด กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี 2565 – 2567 พบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นประตูสู่สารเสพติดชนิดอื่น (Gateway Drug) เช่น บุหรี่มวน และกัญชา เป็นต้น
บุหรี่ไฟฟ้าในไทยส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดโลกร้อยละ 85 เมื่อปี 2566 ด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 88,000 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 32.4 ต่อปีไปจนถึงปี 2573 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ เมื่อปี 2566 ไทยนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าจากจีนประมาณ 1,600 ล้านบาท ยี่ห้อที่เป็นที่นิยม เช่น RELX, KS Quick, Marbo และ INFY เป็นต้น โดยขนส่งทางเรือจากจีน เข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยตรง หรืออ้อมเรือจากจีนไปยังมาเลเซีย แล้วลักลอบขนส่งผ่านช่องทางธรรมชาติและด่านศุลกากรชายแดนไทย – มาเลเซีย โดยมีอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นจุดกระจายสินค้าผ่านบริษัทขนส่งอีกทางหนึ่ง ส่วนน้ำยาพอตเค และบุหรี่ซอมบี้ส่วนใหญ่นำเข้าหัวบุหรี่ไฟฟ้าแยกจากสารเสพติด จากนั้นผู้ค้ารายย่อยจึงค่อยนำสารเสพติดผสมเอง หรือซื้อแยกมาเติมในรูปแบบของ Kitchen Lab (สถานที่ผลิตยาเสพติดขนาดเล็ก ในบ้านหรือห้องพัก) แล้วจัดจำหน่าย เนื่องจากง่ายต่อการนำเข้าอุปกรณ์ และยากต่อการสืบหาแหล่งผลิตยาเสพติด
รัฐบาลไทยปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การปิดเพจและเว็บไซต์ขายบุหรี่ไฟฟ้า จับกุมและตรวจยึดผู้นำเข้า และครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งตั้งแต่ห้วง กุมภาพันธ์ – 23 สิงหาคม 68 หรือในรอบ 7 เดือน ได้มีการปิดเพจที่เกี่ยวข้องไปแล้วกว่า 11,000 เพจ และตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้าได้กว่า 4 ล้านชิ้น (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 580 ล้านบาท) นอกจากนี้ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนก็ช่วยการรณรงค์ชี้ให้เห็นภัยอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า เฉพาะอย่างยิ่งมีเป้าหมายไปที่เยาวชนของไทย ด้วยการผ่านช่องทางสื่อมวลชนต่าง ๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ เป็นต้น
แม้ทุกภาคส่วนตระหนักของภัยอันตราย และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนสังคมไทย จากบุหรี่ไฟฟ้าแต่ยังต้องมีร่วมมือกันต่อไปอีก ทั้งในแง่กฎหมาย และอื่น ๆ เช่น 1) การมีกฎหมายหลายฉบับ ทำให้ขาดเอกภาพในการบังคับใช้ ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 2) การทำการตลาดของผู้ขายด้วยการโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีภาพลักษณ์ทันสมัย ยืนยันว่าปลอดภัยผ่านทางโลกออนไลน์ซึ่งเป็นการสื่อสารที่แพร่หลายได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง เข้าถึงหมู่เยาวชนได้อย่างง่ายดาย 3) การที่เพจบุหรี่ไฟฟ้าถูกปิด ก็สามารถเปิดเพจใหม่ได้ตลอดเวลา และ 4) ความสะดวกในการขนส่งผ่านบริษัทขนส่งทั้งของภาครัฐและเอกชนที่มีการแข่งขันกันสูง ที่ทำให้เกิดการขยายตัวในการลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในภูมิภาค







