![]()

การข่มขู่ทางทหารเป็นเครื่องมือสำคัญของสหรัฐฯ ในกรณีกวาดล้างยาเสพติดจริงหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงข้ออ้างในการดำเนินนโยบายที่สหรัฐฯ จะล้มล้างรัฐบาลต่างชาติ ซึ่งกรณีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลาน่าจะเป็นข้อพิจารณาหนึ่งเพื่อตอบข้อสงสัยนี้ได้ แม้คำตอบจะไม่ใช่สิ่งใหม่ในการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ที่ประชาคมระหว่างประเทศเห็นและรับรู้กันอยู่……
การปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ โดยกองบัญชาการทหารสหรัฐภาคใต้ (U.S. Southern Command – SOUTHCOM) ปฏิบัติการทำลายเรือลักลอบขนยาเสพติดของเวเนซุเอลา มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กันยายน 2568 เพื่อทำลายเรือขนยาเสพติดของกลุ่มค้ายาเสพติดของเวเนซุเอลาที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศ (Foreign Terrorist Organizations – FTOs) โดยสหรัฐฯ อ้างว่าปฏิบัติการทั้งหมดอยู่ในเขตน่านน้ำสากล และมีหลักฐานข่าวกรองยืนยันว่าสมาชิกกลุ่มอาชญากรข้ามชาติกำลังลักลอบขนส่งยาเสพติดไปยังสหรัฐฯ โดยอย่างน้อยเมื่อกลางตุลาคม 2568 ปฏิบัติการเป็นครั้งที่ 5
สหรัฐฯ ได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารภายใต้รหัส Operation Southern Spear เพื่อสกัดกั้นและโจมตีเรือของกลุ่มลักลอบค้ายาเสพติด ในบริเวณทะเลแคริเบียนเป็นครั้งที่ 21 ซึ่งทำให้บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และประเทศในอเมริกาใต้ตึงเครียด หลังจากมีรายงานเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2568 ว่า Operation Southern Spear ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 83 ราย ประกอบกับการที่กองทัพสหรัฐฯ เพิ่มอาวุธหนักประจำการในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั่วโลกจับตามองความเคลื่อนไหวของกองทัพมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 1 ของโลกในครั้งนี้
Operation Southern Spear เป็นการตอกย้ำว่าสหรัฐฯ จะใช้ปฏิบัติการทหารเพื่อปราบปรามความเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ รวมทั้งส่งสัญญาณให้รัฐบาลเวเนซุเอลา ที่สหรัฐฯ เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังและสนับสนุนกลุ่มอาชญากรรมดังกล่าว ร่วมมือกับสหรัฐฯ …..กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่ากลุ่มอาชญากรที่สหรัฐฯ โจมตีนั้น มี “พฤติกรรม” และ “ความเคลื่อนไหว” ที่เป็นลักษณะผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และมียาเสพติดในครอบครอง ด้านกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยืนยันว่ากองทัพสหรัฐฯ สามารถปฏิบัติการได้ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องขออนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติก่อน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความชอบธรรมในการปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้
สหรัฐฯ ไม่สนใจกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของนานาชาติที่ว่า สหรัฐฯ มีพฤติกรรมข่มขู่ประเทศอื่นและทำตัวเป็นรัฐนอกกฎหมาย หรือ Rogue State เพราะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศในภูมิภาคอเมริกาใต้ รวมทั้งมีปฏิบัติการทางทหารที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า กลุ่มอาชญากรที่กองทัพสหรัฐฯ โจมตีนั้นเป็นกลุ่มติดอาวุธหรือไม่
นอกจากนี้ เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศชัดเจนว่าตนมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจปฏิบัติการ Operation Southern Spear รวมทั้งการเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯ ในภูมิภาค เป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบค้ายาเสพติดที่เป็นอันตรายต่อชาวอเมริกัน และอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการปฏิบัติการทางทหารและข่าวกรองในเวเนซุเอลา เพื่อกดดันให้รัฐบาลเวเนซุเอลา นำโดยประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ มากขึ้น ตลอดจนมีเป้าหมายสำคัญชัดเจน คือ การกดดันให้ประธานาธิบดีมาดูโร ลี้ภัยการเมืองออกจากตำแหน่ง เพราะมีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ขัดแย้งกับสหรัฐฯ ซ้ำยังถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดด้วย
ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์สอดคล้องกับรายงานข่าวของสื่อหลักของสหรัฐฯ เช่น นิวยอร์กไทมส์ เมื่อห้วง กลางตุลาคม 2568 ว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการลับในเวเนซุเอลา และพื้นที่ในทะเลแคริบเบียนของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency – CIA) คือ รัฐบาลของประธานาธิบดีมาดูโร โดยอ้างว่าเวเนซุเอลาไม่สามารถจัดการกับอาชญากรในประเทศที่เข้ามายังสหรัฐฯ รวมทั้งปัญหาการลักลอบขนส่งยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ สื่อยังระบุว่า กำลังพิจารณาขยายปฏิบัติการทางทหารสู่ภาคพื้นดิน เนื่องจากกองกำลังสหรัฐฯ สามารถควบคุมพื้นที่ทางทะเลได้แล้วจากปฏิบัติการทำลายเรือขนยาเสพติดของกลุ่มค้ายาเสพติดเวเนซุเอลาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เวเนซุเอลาก็ไม่ได้เกรงกลัวสหรัฐฯ โดยกองทัพเวเนซุเอลาพร้อมรับมือกับการรุกราน และเสริมกำลังของสหรัฐฯ ที่เข้ามาในทะเลแคริบเบียน และหลังจากมีข่าวสารว่าประธานาธิบดีทรัมป์อนุมัติให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินต่อเป้าหมายขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่รอยต่อชายแดนระหว่างโคลอมเบียกับเวเนซุเอลาว่า โดยเมื่อ 23 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวเนซุเอลาแถลงว่า ได้ระดมกำลังทหารเต็มรูปแบบในพื้นที่ตลอดชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ รวมถึงคงปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ พร้อมกับประจำการขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน เป็นต้น
แม้สหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิบัติการโจมตีเวเนซุเอลาโดยตรง แต่เพิ่มการวางกำลังและยุทโธปกรณ์สำคัญใกล้พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ กำลังใช้การข่มขู่ด้วยอำนาจทางทหาร (military might) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ ประเมินว่าปฏิบัติการในทะเลแคริเบียนครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายปฏิบัติการสกัดเป้าหมายต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน คือ “Enemy KIA” หรือ Kill In Action ซึ่งหมายถึงการอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ สังหารหรือกำจัดเป้าหมายทันที และทำให้ศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตระหว่างการสู้รบ โดยที่กองทัพสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องรอยืนยันอัตลักษณ์ของเป้าหมายก่อน แต่ตัดสินใจปฏิบัติการบนพื้นฐานข้อมูลข่าวกรองและพฤติกรรมของเป้าหมายที่เข้าข่ายการก่อการร้าย ก็สามารถโจมตีได้ทันที…เท่ากับว่า ปฏิบัติการ Operation Southern Spear ของสหรัฐฯ ในทะเลแคริเบียนมีความเด็ดขาดเทียบเท่าปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกกลาง
ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในปัจจุบันอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลาอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลง โดยประธานาธิบดีทรัมป์อาจคาดหวังให้ประธานาธิบดีมาดูโรยอมจำนนและยุติบทบาทการเป็นผู้นำรัฐบาล เพื่อให้นาย Juan Guaidó ผู้นำฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา ขึ้นครองตำแหน่งแทนตามเป้าหมายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีเวเนซุเอลายังไม่มีท่าทียอมรับและยังตอบโต้ผู้นำสหรัฐฯ ด้วยว่ากำลังแทรกแซงความมั่นคงประเทศอื่น ๆ และเป็นฝ่ายทำให้ภูมิภาคละตินอเมริกากลายเป็นสงครามเวียดนามครั้งใหม่ ขณะที่ในประเทศ ผู้นำสหรัฐฯ เริ่มเผชิญกระแสต่อต้านปฏิบัติการดังกล่าวจากสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วน ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม
ปฏิบัติการ Operation Southern Spear ซึ่งเป็นการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อกวาดล้างยาเสพติดที่เป็นภัยคุกคามร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ อาจไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย… เพราะเวเนซุเอลาไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีเครือข่ายกลุ่มค้ายาเสพติดเคลื่อนไหวอยู่ ยังมีโคลอมเบียและเม็กซิโก ที่สหรัฐฯ ต้องกดดันหรือเจรจาอย่างหนัก หากต้องการจะปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาค
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกใช้การข่มขู่ทางการทหารเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคอเมริกาใต้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ความแข็งแกร่งทางการทหารเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามและปกป้องชาวอเมริกัน ตามแนวคิด Peace Through Strength ของประธานาธิบดีทรัมป์ …แต่วิธีการนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศในอเมริกาใต้ระยะยาว เพราะประเทศต่าง ๆ อาจไม่ไว้วางใจปฏิบัติการทหารของสหรัฐฯ ในพื้นที่ ขณะที่นานาชาติอาจมีมุมมองว่าสหรัฐฯ เป็น “รัฐอันธพาล” เที่ยวเอากองทัพไปข่มขู่ประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์การเป็นมหาอำนาจโลกด้วย
ทิศทางและเป้าหมายที่แท้จริงของปฏิบัติการ Operation Southern Spear จะกลายเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อไป แม้มีแนวโน้มจะไม่ยกระดับเป็นการโจมตีเวเนซุเอลาโดยตรง เพราะล่าสุดเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์เปลี่ยนท่าทีไปประกาศว่าต้องการพูดคุยกับประธานาธิบดีเวเนซุเอลา พร้อมกับย้ำว่าจะไม่ส่งกองทัพสหรัฐฯ ไปรุกรานแล้ว..ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือประธานาธิบดีทรัมป์จะเปลี่ยนแปลงท่าทีอีกกี่ครั้ง!? …เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าประเทศมหาอำนาจพร้อมใช้ทุกเครื่องมือที่มี รวมทั้งปฏิบัติการทางทหาร เพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ให้บรรลุเป้าหมาย แม้ว่าจะเผชิญกระแสวิจารณ์ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศก็ตาม







