![]()

รัสเซียกับอินเดียมีความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างกันตลอดมา ไม่เว้นแม้กระทั่วช่วงที่นานาชาติคว่ำบาตรและกดดันรัสเซียจากกรณีทำสงครามในยูเครน แต่อินเดียก็ยังคงมีความร่วมมือกับรัสเซียได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากอินเดียจะยึดมั่นในหลักการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นกลางแล้ว อินเดียยังเล็งเห็นว่าการรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซียอาจเป็นโอกาสให้อินเดียเองได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลก พร้อมกับเป็นประเทศที่สามารถจัดการความสัมพันธ์กับมหาอำนาจได้อย่างมีชั้นเชิง
ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอินเดียกำลังน่าจับตามอง เพราะประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการระหว่าง 4-5 ธันวาคม 2568 ซึ่งนอกจากจะเป็นการเยือนเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รัสเซีย-อินเดียแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีรัสเซียเยือนอินเดีย ตั้งแต่มีสงครามในยูเครน ตลอดจนเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนแปลง มีความขัดแย้ง การแข่งขัน และความไม่แน่นอนสูงมาก
สาเหตุที่ทำให้ทั่วโลกจับตาการเยือนครั้งนี้ เพราะมีขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ มีความซับซ้อนและอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน (transition) เช่น 1) รัสเซียกำลังจะยกระดับปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เนื่องจากใกล้ฤดูหนาว ซึ่งเป็นสมรภูมิที่มีแนวโน้มจะตึงเครียดขึ้น 2) สหรัฐฯ กำลังเร่งทำให้การเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม โดยส่งผู้แทนไปพบกับผู้นำรัสเซีย และกำลังจะพบกับผู้นำยูเครนเร็ว ๆ นี้ 3) สหภาพยุโรป (EU) กำลังเดินหน้าลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย และ 4) อินเดียกำลังมีปัญหาขัดแย้งกับสหรัฐฯ เรื่องความร่วมมือทางการค้า จากนโยบายภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ร้อยละ 50 และบวกกับอีกร้อยละ 25 จากกรณีอินเดียนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียด้วย
นักวิชาการอินเดียอธิบายเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าไม่ใช่การย้อนกลับไปสมัยสงครามเย็น (Cold War) ที่อินเดียกับสหภาพโซเวียด เป็นพันธมิตรกัน เนื่องจากสมัยนั้นสหภาพโซเวียตช่วยอินเดียในการทำสงครามกับปากีสถาน แต่การกระชับความร่วมมือในยุคปัจจุบัน ถือว่าเป็นไปตาม “นโยบายบริหารจัดการความเสี่ยง” ที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิของอินเดีย จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านพลังงาน และเศรษฐกิจของชาติ รวมทั้งรักษาจุดเด่นของนโยบายต่างประเทศอินเดียที่ “เป็นอิสระ” จากมหาอำนาจ
มีความเป็นไปได้สูงมากที่การเยือนอินเดียครั้งนี้ จะเป็นผลดีต่อทั้งรัสเซียและอินเดีย เพราะคาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพบกันครั้งนี้ และเป็นผลงานทางการเมืองที่ผู้นำทั้ง 2 สามารถนำกลับไปฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ เพราะรัสเซียต้องการคู่ค้าอย่างอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่ ทดแทนยุโรปที่ยังคงคว่ำบาตรรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อินเดียน่าจะบรรลุความร่วมมือด้านการซื้อพลังงานราคาเป็นมิตรจากรัสเซีย มีรายงานว่า ประธานาธิบดีรัสเซียนำคณะผู้แทนจากบริษัทพลังงานชั้นนำของประเทศร่วมเดินทางไปอินเดียด้วย
ส่วนที่น่าจับตามองอย่างมากนอกเหนือจากเรื่องสินค้าอุปโภค บริโภค และพลังงาน คือ “ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” เพราะทั้งรัสเซียและอินเดียมีความร่วมมือในมิติดังกล่าวมานาน สามารถขยายการแลกเปลี่ยนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ ที่ผ่านมา รัสเซียถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ด้านอุตสาหกรรมอาวุธให้อินเดียคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 นอกจากนี้ ปัจจุบันรัสเซียต้องการสะสมอาวุธเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้อินเดียได้ขยายตลาดส่งออกอาวุธไปยังรัสเซียด้วย หากรัสเซียและอินเดียเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการทหารและอุตสาหกรรมอาวุธ ก็จะเป็นการเพิ่มปัจจัยความไม่แน่นอนในภูมิรัฐศาสตร์โลก เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ
ซึ่งที่ผ่านมา สหรัฐฯ พยายามโน้มน้าวอินเดียให้ร่วมมือในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ดังนั้น เหตุการณ์นี้นอกจากเป็นจุดขยายความร่วมมือรัสเซีย-อินเดีย ก็อาจเป็นอีก “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ต้องทบทวนการดำเนินยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศอีกครั้ง ว่าจะยังคงต้องการให้อินเดียเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกต่อไปหรือไม่ หลังจากสหรัฐฯ เห็นได้ชัดเจนถึงการสามารถเปลี่ยนขั้วได้อย่างรวดเร็วของอินเดียไปหาจีนและรัสเซีย เพื่อสร้างแรงเสียดทานให้กับสหรัฐฯ ที่ขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ทางการค้ากับอินเดีย เมื่อ สิงหาคม 2568 ที่อัตราร้อยละ 25 เพราะไม่ยอมยกเลิกการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย







