![]()

โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อ 7 ธันวาคม 2568 เปิดเผยมุมมองของรัสเซียต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ (U.S. National Security Strategy) ที่เผยแพร่ฉบับล่าสุดเมื่อ 4 ธันวาคม 2568 ว่า เป็นผลดีต่อรัสเซีย เนื่องจากสะท้อนว่าสหรัฐฯ มีมุมมองสอดคล้องทิศทางเดียวกันกับรัสเซียเรื่องสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการยุติสงครามในยูเครน การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย และการเตือนยุโรปว่ากำลังเผชิญกับภาวะอารยธรรมล่มสลาย รวมทั้งการไม่ขยายจำนวนสมาชิกเนโต ทั้งหมดนี้เป็นผลดีต่อความมั่นคงของรัสเซีย
รัสเซียจะใช้ประโยชน์จากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ฉบับใหม่ที่ระบุว่าสหรัฐฯ จะเป็นผู้นำด้านการใช้กลไกการทูตแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับรัสเซีย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ถือว่าการเจรจาเพื่อให้เกิดเสถียรภาพในยูเครนและยุโรป รวมทั้งการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียนั้นเป็นผลประโยชน์สำคัญ (core interest) ของสหรัฐฯ
มีข้อสังเกตว่า …….
สหรัฐฯ ไม่ได้กำหนดให้รัสเซียเป็นภัยคุกคามของสหรัฐฯ ในยุทธศาสตร์ฉบับนี้ ซึ่งแตกต่างจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับก่อน ๆ ที่จะกำหนดชัดเจนว่ารัสเซียเป็น 1 ในประเทศที่มีพฤติกรรมเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ทั้งในมิติการขยายอิทธิพลในต่างประเทศ การทหาร และการปฏิบัติการทางไซเบอร์
เมื่อรัสเซียได้ประโยชน์จากยุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับนี้ อาจมีนัยว่าประเทศยุโรปกำลังไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เพราะเป็นการตอกย้ำท่าทีของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในที่ประชุม Munich Security Conference ที่เตือนให้ยุโรปเพิ่มความรับผิดชอบต่อความมั่นคงของตัวเอง แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ และฟื้นฟูอัตลักษณ์ชาติตะวันตกและวิถีอารยธรรมยุโรป ซ้ำยังระบุในยุทธศาสตร์ชัดเจนว่าจะไม่เพิ่มจำนวนสมาชิกเนโต ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเข้มแข็งของเนโต ทั้งที่ยังเผชิญภัยคุกคามจากรัสเซียด้วย ท่าทีของสหรัฐฯ ทำให้นักวิเคราะห์ในต่างประเทศเชื่อว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปในฐานะ “Pax Americana” กำลังเสื่อมถอยอย่างมากและเสี่ยงสิ้นสุดลง
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติเป็นเอกสารสำคัญที่สะท้อนมุมมองของสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์โลกในแต่ลุยุคสมัย และเป็นเอกสารที่บ่งบอกได้ว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร โดยฉบับนี้เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง เน้นย้ำอุดมการณ์และนโยบาย “America First” ควบคู่กับสร้างหลักการด้านความมั่นคงแบบใหม่ ในชื่อ “Trump Corollary” หรือทฤษฎีทรัมป์ ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักการมอนโร (Monroe Doctrine) ที่เน้นการไม่แทรกแซงการเมืองและไม่รุกล้ำอธิปไตยของประเทศอื่น
ผู้เชียวชาญประเมินว่าสหรัฐฯ ในรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่จะให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายที่ทำให้สหรัฐฯ มีพลังอำนาจมากขึ้น (powerful) และมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากขึ้น (prosperous)
ประเด็นที่น่าสนใจจากยุทธศาสตร์ดังกล่าว เช่น สหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามจากผู้อพยพผิดกฎหมาย และการแพร่กระจายของยาเสพติดจากภูมิภาคอเมริกาใต้เป็นอันดับแรก และระบุว่าประเทศที่มีพฤติกรรมเป็นศัตรูกับสหรัฐฯ อยู่ในภูมิภาคตะวันออกลาง
สหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ……..
สหรัฐฯ ต้องการให้เป็นภูมิภาคที่เปิดกว้างและเสรี ส่งเสริมการเติบโตและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ รวมทั้งขอให้พันธมิตรสหรัฐฯ ร่วมรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ตลอดจนย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสหรัฐฯ จะเป็นอันดับ 1 และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนโลก รวมทั้งจะร่วมมือเพื่อเร่งสร้างความสมดุลด้านการค้าและเศรษฐกิจกับจีน สำหรับประเด็นทีสหรัฐฯ จะดำเนินการต่อไปในภูมิภาคนี้ คือ ปกป้องเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ จากนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การทำลายห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ การค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ และการจารกรรมหรือโฆษณาชวนเชื่อที่แทรกแซงสหรัฐฯ และสังคมอเมริกัน ตลอดจนร่วมมือกับหุ้นส่วนและพันธมิตรของสหรัฐฯ เพื่อจัดการกับประเทศที่มีนโยบายการค้าที่ไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ระบุถึงไทย……
ในยุทธศาสตร์ฉบับนี้ สหรัฐฯ กล่าวถึงไทยว่าเป็น 1 ในตัวอย่างผลงานการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ผู้นำสหรัฐฯ มีส่วนร่วมในการผลักดัน และเป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่าสหรัฐฯ สนับสนุนสันติภาพ ส่วนจีน สหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่าต้องการแก้ไขความสัมพันธ์ด้านการค้า ต้องการให้จีนปฏิบัติตามระเบียบโลก ต้องการให้ประเทศที่ร่วมมือด้านการค้ากับจีนทบทวนนโยบาย และสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการปกป้องเส้นทางเดินเรือในทะเลจีนใต้ให้ปลอดภัยจากความเคลื่อนไหวด้านการทหารจากประเทศอื่น ๆ เพราะเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมาก แต่ยังคงยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติการทางทหารเชิงรุก โดยจะเน้นการแสดงแสนยานุภาพทางทหารเพื่อป้องปรามความขัดแย้ง รวมทั้งในช่องแคบไต้หวัน และเนื่องจากการปะทะทางทหาร รวมทั้งสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกจะไม่เป็นผลดีต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลก







