![]()

ในภูมิภาคอาเซียนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่ถือว่า “สนิท” กันมาคู่หนึ่งของภูมิภาคอาเซียนคือลาวกับเวียดนาม โดยเริ่มจาก สิ่งที่เรียกว่า “สายสัมพันธ์พิเศษ” สิ่งที่ทำให้ลาวกับเวียดนามสองประเทศ เป็นมากกว่าเพื่อนบ้านธรรมดา คงต้องย้อนกลับไปช่วงสงคราม ทั้งสองประเทศมีรากฐานมาจากแนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน คือ คอมมิวนิสต์ และตอนนั้นมีคู่ตรงข้ามร่วมกันก็คือ ฝรั่งเศส ที่เป็นเจ้าอาณานิคม และต่อมาก็คือสหรัฐฯ ที่พยายามกำจัดลัทธิคอมมิวนิสต์ เวียดนามที่นำโดยโฮจิมินห์เป็นเสมือนพี่ใหญ่ รวมกลุ่มกับนักปฏิวัติลาว ที่นำโดยนายไกสอน พมวิหาน และคำไต สีพันดอน รัฐบุรุษคนสำคัญของลาว ทำการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ ซึ่งอาจจะคุ้น ๆ กับเส้นทางโฮจิมินห์ที่การลำเลียงกำลังพลส่วนใหญ่ได้ตัดผ่านประเทศลาว ทั้งสองประเทศได้ร่วมต่อสู้จนมาเป็นลาวและเวียดนามในปัจจุบัน
สนธิสัญญาที่มีร่วมกัน……
จากรากฐานข้างต้นทำให้ความสัมพันธ์ และความร่วมมือทั้งสองประเทศใกล้ชิดสนิทสนม โดยทางการเมือง ทั้งสองประเทศมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาว และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์และความร่วมมือ จนเวียดนามได้ชื่อว่าเป็น “พี่ใหญ่” ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองในภูมิภาคอินโดจีน (ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) ซึ่งทั้งสามประเทศมีสิ่งที่เรียกว่า “สนธิสัญญาพิเศษ” (Special Treaty) 2 ฉบับที่สำคัญ ได้แก่
1) สนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมือ (Treaty of Amity and Cooperation) ลงนามกับไปเมื่อกรกฎาคม 2520 หลักการสำคัญ คือ ความสามัคคีพิเศษ ที่ยืนยันถึงความผูกพันที่ไม่เหมือนใคร มีพื้นฐานมาจากการสนับสนุนทางการเมืองและอุดมการณ์ รวมทั้งยังกำหนดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมถึงด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ที่เวียดนามสามารถประจำการในลาว หากมีเหตุจำเป็น
และ 2) สนธิสัญญาว่าด้วยพรมแดนแห่งชาติ (Treaty on National Demarcation) ก็ลงนามในห้วงเดียวกัน เป็นสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการการกำหนดเส้นแบ่งพรมแดนทางบกอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยสร้างเสถียรภาพและความร่วมมือในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัน
จนถึงปัจจุบัน ความใกล้ชิดก็ยังแนบแน่น ……
ล่าสุดในห้วงต้นธันวาคม 2568 พลเอกโต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พร้อมด้วยภริยา และคณะเยือนลาวเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีวันชาติ ใน ช่วงเดียวกัน นายฟ่าม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมตรีเวียดนาม ยังเดินทางมาเพื่อจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมรัฐบาลลาว-เวียดนามว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ 48 เมื่อ 3 ธันวาคม 2568
นายกรัฐมนตรีเวียดนามตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างลาวว่ายังคงยิ่งใหญ่และพิเศษ มีการประสานทางยุทธศาสตร์หรือ Strategic Cohesion ที่รัฐบาลทั้งสองจะเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม เพื่อที่จะสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเอง มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด และบูรณาการเข้ากับสากล เพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนให้บริษัทเอกชน รวมถึงบรรษัทของรัฐขนาดใหญ่ของเวียดนามเพิ่มการลงทุนในลาว รวมทั้งส่งเสริมการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Connectivity) เพื่อเอื้อต่อการขนส่ง โลจิสติกส์ การค้า และการท่องเที่ยว
โครงการความร่วมมือที่เป็นโครงการ “เรือธง” ของทั้งสองประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือหวุงอ๋าง (Vung Ang Port) โดยร่วมมือกันลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ ที่ 1 2 และ 3 (เปิดตัวไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้) ซึ่งช่วยให้ลาว สามารถออกสู่ทะเลได้ ด้วยระยะที่สั้นที่สุด โครงการที่สำคัญอีก 2 ได้แก่ โครงการทางด่วนเชื่อม นครหลวงเวียงจันทน์ ไปยังกรุงฮานอย และโครงการเส้นทางรถไฟจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยัง – ท่าเรือหวุงอ๋าง ของเวียดนาม ซึ่งหากส่งทางเวียดนามได้จะย่นระยะได้กว่า 1,000 กิโลเมตร ลดค่าขนส่ง และระยะเวลา จากที่ปัจจุบันลาวส่งออกไปยังภูมิภาคและโลกผ่านทางทะเลผ่านสิงคโปร์ รวมถึงไทย นอกจากนี้ ก็ยังอีกหลายโครงการที่เวียดนามเข้าไปลงทุนในลาว เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เหมืองแร่ และเกษตรกรรม
เวียดนามยังให้ความช่วยเหลือลาวในการสร้างสถาบันการเมืองและการบริหารแห่งชาติ สาขาภาคใต้ ที่แขวงจำปาสัก โดยวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อ 3 ธันวาคม 2568 เช่นเดียวกัน สถาบันนี้เป็นโครงการที่เวียดนามช่วยเหลือแบบให้เปล่า ประมาณ 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความร่วมมือด้านการศึกษาของทั้งสองพรรคและสองรัฐบาล เป้าหมายเพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูงของลาว
ลาวพึ่งพาเวียดนามมากเกินไปไหม ?
ด้วยความที่ลาวค่อนข้างจะพึ่งพาเวียดนามอย่างมากทั้งในแง่ของการเมืองและเศรษฐกิจ ก็เกิดคำถาม
ว่า ลาวพึ่งพาเวียดนามมากเกินไปไหม? หรือเวียดนามเข้ามามีอิทธิพลในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการเมืองของลาวมากเกินไปหรือเปล่า? ถ้าตอบตอนนี้ อาจจะไม่มากขนาดนั้น เพราะมีจีนที่เข้ามามากกว่า แต่เวียดนามก็ยังได้ชื่อว่ามีอิทธิพลในลาวอย่างมาก จนถึงขั้นที่ทำให้คนลาวบางกลุ่มไม่ชอบคนเวียดนามที่เข้ามา แต่รัฐบาลก็พยายามแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือระหว่างลาวกับเวียดนามสร้างประโยชน์ให้ลาวมาก
เมื่อลองพิจารณาความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งสองประเทศ เชื่อว่าจะยังคงใกล้ชิดกันต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะลาวก็ยังต้องการรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจและชาติในภูมิภาค ไม่ต้องการได้ชื่อว่าพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป และในปี 2570 ที่กำลังจะมาถึง จะเป็นปีครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตทวิภาคีลาว-เวียดนาม และครบรอบ 50 ปีสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือที่ลงนามร่วมกัน ซึ่งทั้งสองประเทศก็จะประกาศให้เป็นปีแห่งความสามัคคีและมิตรภาพลาว-เวียดนาม ปี 2570







