![]()

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อ 15 ธันวาคม 2568 ออกคำสั่งผู้บริหารกำหนดให้การผลิตและค้าขายสารเฟนทานิลอย่างผิดกฎหมาย เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยให้เหตุผลว่าสารดังกล่าวสามารถเป็นอันตรายได้ ชาวอเมริกันจำนวนมากเสียชีวิตจากการใช้สารเคมีดังกล่าวเกินกว่าที่กำหนด เนื่องจากมีเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติลักลอบผลิตและแพร่กระจายสารดังกล่าวไปในสหรัฐฯ ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการปกป้องสังคมอเมริกัน ด้วยการยกระดับภัยคุกคามดังกล่าวด้วยการจัดให้สารเฟนทานิลเป็นอันตรายในระดับเดียวกันกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง เพราะองค์กรต่างชาติอาจใช้สารเฟนทานิลเป็นอาวุธในการบ่อนทำลายความมั่นคงของสหรัฐฯ
คำสั่งดังกล่าวทำให้หน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อจำกัดภัยคุกคามจากการแพร่ระบาดของสารเฟนทานิลแบบผิดกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จะสอบสวนและสกัดกั้นการลักลอบค้าสารเฟนทานิลในสหรัฐฯ อย่างจริงจัง กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะพิจารณาและทบทวนรายชื่อองค์กร รวมทั้งบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าขายสารเฟนทานิลในสหรัฐฯ เพื่อมีมาตรการแจ้งเตือนและตอบโต้ ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่ากระทรวงสงคราม จะทบทวนมาตรการตอบโต้กับภัยคุกคามดังกล่าว โดยหารือกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ด้วย
สำหรับสารเฟนทานิล เป็นสารที่มีฤทธิ์แก้ปวด เป็นสารสังเคราะห์ หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมภายใต้การควบคุมของแพทย์ก็เป็นยากรักษาโรค แต่ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันจำนวนมากใช้สารเฟนทานิลอย่างผิดกฎหมาย กลายเป็นยาเสพติดซึ่งแพร่กระจายทั่วประเทศ ส่วนพฤติกรรมที่เข้าข่ายการละเมิดคำสั่งผู้บริหารดังกล่าว เช่น การผลิต ซื้อ ขาย และแพร่กระจายสารเฟนทานิลโดยไม่สอดคล้องกับกฎหมายของสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสำคัญและยกระดับการแก้ไขปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในสหรัฐฯ อย่างจริงจัง ซึ่งรวมทั้งสารเฟนทานิล ที่นับว่าเป็น 1 ในสารเสพติดที่ทำให้เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสหรัฐฯ ลอกที่ 4 (fourth wave) มีรายงานวิจัยตั้งแต่เมื่อปี 2557 ว่าการแพร่ระบาดของสารเฟนทานิลส่งผลกระทบต่อสุขภาพชาวอเมริกัน จากการใช้เฟนทานิลเกินขนาด เฉพาะอย่างยิ่งให้ห้วงอายุระหว่าง 18 – 44 ปี และสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดเฉลี่ยมากกว่า 220 รายต่อวันเมื่อปี 2567 ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากการใช้ยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioid) หรือกลุ่มสารที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการปวดรุนแรง ซึ่ง “เฟนทานิล” จัดอยู่ในกลุ่มสารสังเคราะห์ของยากลุ่มนี้ด้วย แม้ว่าอัตราผู้เสียชีวิตจะลดลงเล็กน้อยจากเมื่อปี 2566 แต่ก็ยังมีชาวอเมริกันจำนวนมากใช้สารเฟนทานิล และมีแนวโน้มที่การใช้สารเฟนทานิลเป็นยาเสพติดจะส่งผลเสียต่อสังคมอเมริกันในระยะยาว
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดประเภทดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ทั้งกลไกกฎหมายในประเทศ เพิ่มความจริงจังในการปราบปรามในประเทศ และขยายความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น เมื่อ มิถุนายน 2568 สหรัฐฯ ประกาศมาตรการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสารเฟนทานิล ด้วยการออกมาตรการเข้มงวดในการตรวจลงตรากับผู้ต้องสงสัยว่าค้ายาเสพติด และสมาชิกครอบครัว รวมไปถึงบุคคลใกล้ชิดและคู่ค้าทางธุรกิจ ยกระดับความเข้มงวดการตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ผ่านชายแดนเม็กซิโก
ส่วนในเวทีระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ก็ใช้ประเด็นสารเฟนทานิลกดดันและเป็นเงื่อนไขในการต่อรองกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ แลกเปลี่ยนกับมาตรการภาษีตอบโต้ เพื่อให้ร่วมมือกับสหรัฐฯ สกัดกั้นการแพร่กระจายของสารเฟนทานิล ไม่ให้หลั่งไหลเข้าสหรัฐฯ เช่น จีน และเม็กซิโก ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยื่นเงื่อนไขว่าทั้ง 2 ประเทศต้องเพิ่มความพยายามอย่างเป็นรูปธรรมที่จะสกัดกั้นและปราบรามการผลิตเฟนทานิลที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะเม็กซิโก ที่สหรัฐฯ เชื่อว่าเป็นแหล่งลักลอบส่งออกสารเฟทานิลไปสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 80
สำหรับในกรณีจีน การพบหารือระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน นอกรอบการประชุมการประชุมผู้นำเอเปค ที่เกาหลีใต้ เมื่อปลายตุลาคม 2568 สหรัฐฯ ได้ลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ขณะที่จีนจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อยับยั้งการส่งออกสารตั้งต้นการผลิตเฟนทานิลผิดกฎหมาย ด้วยการขึ้นบัญชีสารตั้งต้นผลิตเฟนทานิล 13 ชนิด และควบคุมการส่งออกสารเคมีที่สามารถนำมาใช้แทนสารตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิล 7 ชนิด สะท้อนว่าจีนยอมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในประเด็นนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะยืนยันว่าการผลิตสารเฟนทานิลของจีนมีเป้าหมายเพื่อใช้ในการทางแพทย์เท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ FBI เยือนจีนระหว่าง 7-8 พฤศจิกายน 2568 เพื่อติดตามเรื่องที่ผู้นำทั้งสองได้ตกลงกัน โดยได้มีการหารือกับกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเกี่ยวกับเฟนทานิลที่ผลิตจากสารเคมีตั้งต้นที่ส่งออกจากจีน และการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมด้วย
ประเทศที่น่าจับตามองต่อไปว่าสหรัฐฯ จะกดดันให้ร่วมมือเรื่องการควบคุมสารเฟนทานิลหรือไม่ คือ อินเดีย เนื่องจากหน่วยความมั่นคงสหรัฐฯ รวมทั้งหน่วยงานด้านสาธารณสุข ประเมินว่าอินเดียมีแนวโน้มจะเป็นแหล่งผลิตและส่งออกสารเฟนทานิลมากขึ้นในอนาคต ส่วนหนึ่งเพราะจีนจำเป็นต้องปราบปรามแหล่งผลิตสารเคมีที่ใช้เป็นสารประกอบเฟนทานิล ทำให้ต้องย้ายฐานการผลิตไปทื่อินเดีย การประเมินนี้มีที่มาที่ไป เพราะเมื่อ มกราคม 2568 สหรัฐฯ ได้ดำเนินคดีต่อบริษัทสัญชาติอินเดีย 2 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกสารเฟนทานิลไปยังสหรัฐฯ ด้วย
ผู้นำสหรัฐฯ ออกคำสั่งดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า คำสั่งนี้มีขึ้นในห้วงที่สหรัฐฯ กำลังทำสงครามปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคอเมริกาใต้ โดยกองทัพสหรัฐฯ โจมตีเรือในน่านน้ำอเมริกาใต้ตั้งแต่ กันยายน 2568 ด้วยการให้เหตุผลว่าเป็นเครือข่ายของกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในเวเนซุเอลา ปฏิบัติการดังกล่าวทำให้นานาชาติตั้งคำถามว่า สหรัฐฯ มีความชอบธรรมตามกฎหมายหรือไม่ และอาจละเมิดกฎหมายสากล ดังนั้น การออกคำสั่งผู้บริหารในช่วงเวลานี้ อาจเป็นประโยชน์กับผู้นำสหรัฐฯ 2 เรื่อง คือ เรื่องการปราบปรามยาเสพติดในประเทศ ที่เป็นวิกฤตในมิติความมั่นคงทางสังคม และสาธารณสุข รวมทั้งเรื่องการดำเนินโยบายด้านการทหารและความมั่นคงในภูมิภาคอเมริกาใต้ ที่มีความสำคัญต่อนโยบาย America First ของสหรัฐฯ อย่างมาก







