![]()

เหตุการณ์ความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา จนทำให้เราต้องสูญเสียจำนวนมาก ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความรู้สึกความเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองประเทศนี้ก็ไม่สามารถยกประเทศหนีกันไปไหนได้ ตามที่มีการพูด ๆ กัน บทความเรื่อง “72 ปี วรรณกรรม “ถกเขมร” (พ.ศ.2496 – 2568)” ขอจุดประกายให้ท่านกลับไปหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หรือไปหาอ่าน หากท่านยังไม่เคยได้สัมผัสเรื่องนี้ โดยเรื่อง“ถกเขมร” ซึ่งมี พล.ต.หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ประพันธ์ ช่วยให้รู้เรื่องราว ประวัติศาสตร์ ความสนุกสนาน และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเพื่อนบ้านของเราที่กำลังขัดแย้งอยู่ในขณะนี้ที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ในแวดวงวรรณกรรม บทประพันธ์รวมถึงภาพยนตร์ที่เล่าขานถึงสถานการณ์ภายในของเขมร หรือกัมพูชาในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างเขมรฝ่ายต่าง ๆ คงจะไม่พลาดที่จะต้องกล่าวถึงหนังสือเรื่อง 4 ปี นรกในเขมร โดยผู้เขียนคือ ยาสึโกะ นะอิโต สตรีชาวญี่ปุ่นที่สมรสกับนักการทูตชาวกัมพูชา ที่ต่อมาได้กลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงของความแตกแยกและสงครามกลางเมืองในกัมพูชา แปลเป็นภาษาไทยโดยผุสดี นาวาวิจิตร และจำนวนพิมพ์หลายครั้งเลยทีเดียว
หากย้อนไปถึงภาพยนตร์ ก็จะพบเรื่อง The Killing Fields ในปี 1984 ที่เป็นเรื่องราวของนักข่าวชาวกัมพูชา ชื่อ ดีธ ปราน กับเพื่อนรักสื่อมวลชนชาติตะวันตก ที่ในตอนจบทั้งสองได้กลับมาพบกันในพื้นที่ปลอดภัยที่ชายแดนไทย พร้อมกับเสียงเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอน นักร้องเสียงอมตะ กินใจของคนทั้งโลก
แต่ก่อนหน้าที่จะมีวรรณกรรม หรือเรื่องราวเกี่ยวกับกัมพูชาที่สื่อออกมาในสังคมไทยยุคปัจจุบันนี้ เมื่อ 72 ปีก่อน ยังมีวรรณกรรมเชิงสารคดีท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยอรรถรสเรื่องหนึ่งคือ “ถกเขมร” ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวของคนไทย 4 คน ที่ตัดสินใจหลีกหนีความจำเจที่แต่ละคนประสบอยู่ รวมถึงการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ของชีวิต เพื่อสิ่งใหม่ ๆ ที่พบอาจทำให้เราเข้าใจคนอื่น ๆ และตัวเราเองได้มากขึ้น…..ด้วยการไปท่องเที่ยวกัมพูชาซึ่งขณะนั้นสงบ และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว เพราะยังไม่เกิดสงครามภายในประเทศ
คณะที่ไปเที่ยวกันนั้น เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่สำนักพิมพ์สยามรัฐ ประกอบด้วย พล.ต. หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นผู้เขียนและถ่ายภาพประกอบ นายอบ ไชยวสุ นายประยูร จรรยาวงศ์ เขียนภาพประกอบเรื่อง และนายประหยัด ศ.นาคะนาท สืบค้นได้ว่า “ถกเขมร” ได้ถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ก่อน ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เช่นเดียวกับงานเขียนอื่น ๆ ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ จากนั้นจึงรวมเล่มตีพิมพ์ ตั้งแต่ พ.ศ.2496
เรื่องราวสนุกสนาน ของ“ถกเขมร” ที่เริ่มตั้งแต่ทำหนังสือเดินทาง ….. ขึ้นเครื่องบิน….ถึงเสียมราฐ ซึ่งในเรื่องถกเขมรใช้คำว่าเสียบราบ เยี่ยมชมปราสาทนครวัด นครธม จบที่เมืองหลวงกรุงพนมเปญ โดยคณะท่องเที่ยวต้องไปทำหนังสือเดินทางไทยที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องเดินเลาะลัดใต้ต้นมะขามทุ่งพระเมรุ แต่กว่าจะได้เล่มก็ต้องไปผ่านการพิจารณาจากกรมตำรวจ ทำการสอบสวน และเห็นควรให้ออกไปต่างประเทศได้เสียก่อน รวมถึงการไปขอตรวจลงตรา (วีซ่า) กับสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงเทพฯ ซึ่งจะได้รับก็ต่อเมื่อมีบุคคลที่กรุงพนมเปญรับรอง แต่ทว่าหากจะไปเที่ยวแค่เมืองเสียมราฐ (ในเรื่องถกเขมร ใช้คำว่าเสียบราบ) ก็ไม่ต้องผ่านการรับรองจากบุคคลในกรุงพนมเปญ แต่อย่างใด
หลังจากนั้น ….คณะฯ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยสายการบินแอร์เวียดนาม นักบินและลูกเรือเป็นชาวฝรั่งเศส โดยงานเขียนนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่า พนักงานบริการภาคพื้นของไทยสมัยนั้นที่สังกัดบริษัทเดินอากาศไทย จะต้องพูดได้หลายภาษาอันเป็นคุณสมบัติพิเศษ และยังได้กล่าวถึงธุรกิจการบินในสมัยนั้นแบบเหน็บแนม ซึ่งขอยกข้อความในหนังสือถกเขมรไว้ว่า
“…..การตั้งสายการบินก็กลายเป็นสมัยนิยม แทบทุกประเทศในตะวันออกต่างก็พากันตั้งสายการบินขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับเอกราชใหม่ ๆ นั้นแทบจะเว้นเสียมิได้ ดูเหมือนกับว่าสายการบินเป็นของคู่กันไปกับเอกราช และเป็นเครื่องมือแสดงเอกราชที่ได้รับนั้น ให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก……”

หนังสือถกเขมรยังเล่าให้ฟังต่อไปว่า เมื่อคณะเดินทางถึงสนามบินเมืองเสียมราฐ ก็ให้เกิดความสะท้อนใจว่า หนังสือเดินทางของคณะ ทางเจ้าหน้าที่กัมพูชาประจำสนามบิน จะนำไปส่งให้ที่โรงแรมที่พักในวันหลัง เนื่องจาก “ ……ต้องเอาไปให้ฝรั่งเขาดูและตีตราเสียก่อน ผมมีหน้าที่แต่มาเก็บเอาไปให้เขาเท่านั้นเอง … เราได้ยินแล้วก็อดดีใจไม่ได้ที่เราเป็นคนไทย …….”
ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน วรรณกรรมถกเขมรได้ทำให้เรารู้สึก และเข้าใจ “ความเป็นกัมพูชา” และ “ความเกี่ยวพันระหว่างกัมพูชากับไทย“ อย่างแยกไม่ออกที่ตกทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน กล่าวคือ นับตั้งสมัยขอมเรืองอำนาจ สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ บางครั้งกัมพูชาก็มีอำนาจเหนือไทย บางครั้งเกิดการรุกรานระหว่างกัน มีบางห้วงเวลาที่กัมพูชา ต้องมาพึ่งพาไทย และไทยเองก็เข้าไปมีส่วนร่วมต่อการรื้อฟื้นความเป็นชาติของกัมพูชาสมัยใหม่
หากได้กลับไปอ่านเรื่องราวยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งในหลาย ๆ ตอนของวรรณกรรมถกเขมรชิ้นนี้ อาจช่วยอธิบายความขุ่นมัวที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจคนกัมพูชา ที่ส่งผลต่อไทย และการดำรงอยู่ของชาติ ที่จะขอยกมาเสนอในที่นี้ เช่น ตอนเสียมเรียบซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแรกของคณะถกเขมร โดยในหนังสือ “ถกเขมร” เขียนไว้ว่า
”… เมืองเสียมเรียบ หรือเสียบราบ สุดแล้วแต่จะเรียกเป็นสำเนียงเขมรหรือสำเนียงไทย แปลว่า เสียม หรือสยาม หรือไทยเคยไปเรียบราบมาที่นั่นครั้งหนึ่งในระหว่างที่ทำสงครามกับเขมร ด้วยเหตุนี้เวลาเสียบเรียบตกมาเป็นของไทย จึงต้องเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเสียมราษฎร์ เพื่อเป็นมงคลนามทุกครั้งไป ความจริงชื่อเสียมเรียบหรือเสียมราบก็ดูจะไม่เป็นมงคลสำหรับคนไทยจริง ๆ แต่การเปลี่ยนชื่อเมืองกลับมาให้ถูกใจเรานั้นคิดดูให้ดีแล้วก็เห็นว่าไม่ดีนักอีก เพราะทุกครั้งที่เราเปลี่ยนชื่อเมืองจากเสียบราบเป็นเสียมราษฎร์ ก็เป็นการแสดงวีรธรรมของไทยให้ปรากฏว่า คนไทยนั้นรบแพ้เป็นเหมือนกัน แต่ไม่ชอบและไม่ยอมรับว่าเคยแพ้…”
“ท่านผู้ใหญ่ฝ่ายเขมรที่เมืองพนมเป็ญท่านหนึ่งได้กล่าวเป็นเชิงปรับทุกข์กับพวกเราว่า” พงศาวดารเขมรเวลานี้เลอะเลือนเต็มที เพราะเขียนขึ้นระหว่างที่เขมรยังอยู่ใต้บังคับไทย สงครามครั้งใดที่เขมรเป็นฝ่ายชนะก็ไม่กล้าเขียนลงไป เขียนไว้แต่ตอนที่เขมรแพ้ คนรุ่นหลังในเมืองเขมรเดี๋ยวนี้ก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น”
พอถึงเมืองเสียมเรียบ หรือเสียบราบ คณะของผู้เขียนก็เดินทางไปชมโบราณสถาน คือ ปราสาทนครวัด และนครธม ซึ่ง พล.ต. หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ผู้เขียนก็สะท้อนภาพ และเรื่องราวได้อย่างดี พร้อมกับสอดแทรกนัยของอำนาจ ที่ทำให้เห็นภาพเลยทีเดียว โดยเขียนไว้ว่า
“…เรื่องขุดคูล้อมรอบปราสาทนี้เป็นธรรมดาของสถาปัตยกรรมของขอมเมื่อสมัยพันปีมาแล้ว เพราะวิญญาณของศิลปขอมนั้นคือวิญญาณที่โอ่อวด วิญญาณที่รักและบูชาตัวเอง คูที่เต็มไปด้วยน้ำใสนั้น จึงเป็นกระจกเงาที่คอยส่องหน้าปราสาท ให้แลเห็นเงาของตัวเองอยู่เป็นนิตย์…“
“…สิ่งเดียวที่ก่อกำเนิดและเร่งรัดการก่อสร้างนี้ไปจนสำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ก็คือ “อำนาจ” อำนาจที่เห็นแก่ตัวและเคลิ้มฝัน เห็นตัวเองเป็นเทวราชผู้ครองโลก อำนาจที่กดขี่บังคับและทารุณแก่มนุษย์อื่น ๆ …”
“…(กษัตริย์ขอมผู้ก่อสร้างนครวัด ซึ่งเป็นเสมือนที่ประดิษฐานพระบรมศพตัวเอง) พยายามจะแผ่อำนาจ พยายามจะสร้างพระบารมี ถึงคนทั้งประเทศจะยกย่องแล้วว่าเป็นเทวราช แต่ทุกพระองค์ก็ยังเป็นมนุษย์ ยังอยากจะ “เบ่ง” พระองค์ออกไปอีก ในที่สุดก็เข้าหลักอนิจจสัจจ์ ถึงเบ่งพระองค์ออกไปสักเพียงใด ก็ต้องมีที่สิ้นสุดวันหนึ่ง…“
ผู้ประพันธ์ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า คณะได้เที่ยวชมปราสาทนครวัดอยู่หลายวัน โดยได้ระบุถึงภาพจำหลักรูปกองทัพสยาม ตามที่มีตัวอักษรจารึกไว้ว่า “เสียมกุฏ” เซียมกุฏิ ประเด็นเสียมกุฏนี้ มีนักวิชาการที่ได้อรรถาธิบายความหมายไว้หลากหลาย แต่ผู้ประพันธ์เชื่อว่าเป็นกองทัพของสยามที่ไปช่วยรบในสงครามของอาณาจักรขอม แต่มัคคุเทศก์ที่นำชมเกรงว่าคณะจะรู้สึกเสียหน้าทั้งการที่สยามต้องมาช่วยรบ และเป็นกองทัพที่ไร้ระเบียบวินัย เห็นได้จากภาพจำหลักนั้นเป็นกองทหารที่หันหน้าเดินคุยกัน มีรอยยิ้มและแต่งตัวประดับประดาดอกไม้ต่าง ๆ แต่ผู้ประพันธ์กลับมองว่าเป็นภาพจำหลักที่น่าภาคภูมิใจ เพราะชี้ชัดว่าไม่ใช่ทาสหรือเมืองขึ้นของขอม แม่ทัพนายกองของกองทัพสยามก็ยืนโก่งธนูบนหลังช้างอย่างองอาจ
ผู้ประพันธ์เรื่องถกเขมรเล่าถึงเมืองพระนคร/นครธม สัญลักษณ์ที่แสดงว่าไทย – เขมร ผลัดกันมีอำนาจเหนือกว่ากัน ซึ่งในหนังสือถกเขมร ผู้เขียนได้เขียนไว้ตอนหนึ่งที่น่าสนใจว่า
“.…ถ้านักท่องเที่ยวคนนั้นเป็นคนไทยก็อาจรู้สึกด้วยความซึ้งในหัวใจว่า สะพานข้ามคูและประตูชัยนี้แหละหนอ ที่ครั้งหนึ่งกองคุมส่วยน้ำจากพระร่วงเมืองสุโขทัย คงจะได้เคยผ่าน และเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า เพราะระยะทางที่ต้องเดินคุมน้ำมาส่งนั้นไกลแสนไกล นักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยนั้นอาจนึกออกอีกด้วยว่า ทางด้านประตูชัยนี้เอง กองทัพไทยของพระเจ้าสามพระยา คงจะได้ผ่านมาแล้วด้วยความผยองในชัยชนะ ด้วยความร่าเริงของทหารผู้มีชัย ตีได้พระนครหลวง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประดุจเขาพระสุเมรุเป็นหลักของโลก…..”
จากเมืองเสียมเรียบ คณะได้เดินทางต่อไปยังกรุงพนมเปญ ก่อนที่จะเดินทางกลับไทย
ก่อนจะจบเรื่อง “72 ปี วรรณกรรม “ถกเขมร” (พ.ศ.2496 – 2568)” อยากจะขอเชิญชวนท่านไปอ่านเรื่องถกเขมรฉบับเต็ม ซึ่งจะได้รับความรู้ ประวัติศาสตร์ ความสนุกสนาน และภาพของประเทศเขมรในยุคนั้น และจะขอจบบทความนี้ ด้วยการยกในตอนท้ายของวรรณกรรมนี้ ที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ผู้ประพันธ์ได้ส่งท้ายเรื่องถกเขมร ไว้ว่า
“…เมื่อเครื่องบินลดตัวลงต่ำเหนือกรุงเทพฯ พระมหานครก่อนถึงดอนเมือง เราก็ได้เห็นบ้านเมืองถนนหนทาง ตึกรามและวัดวาอารามที่เป็นของเราแท้ ๆ และสร้างสมมาด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเองแท้ ๆ ไม่มีใครมาช่วยทำให้ เราเหลียวดูหน้ากันและต่างคนต่างก็รู้ว่า ความรู้สึกบางอย่างซึ่งเคยหย่อนยานไปในตัวเรานั้น กลับมาขึงตึงขึ้นมาใหม่ และมั่นคงพร้อมที่จะใช้การได้ไปอีกนาน…”








