![]()

การเผชิญกับโศกนาฏกรรมไม่ใช่เรื่องดีและไม่มีใครอยากเจอ แต่เมื่อต้องเจอและผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ ๆ ไปแล้ว ก็เป็นเวลาที่ต้องหาเรื่องดี ๆ จากเรื่องแย่ ๆ ที่จบสิ้นไป หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมไม่ว่าจากสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือการใช้ความรุนแรงกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งจุดหมายปลายทางสายดาร์ก (Dark Destination) ดังกล่าวได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยวไม่น้อยและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้หลายประเทศที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าว
Dark Tourism เป็นคำที่ J.John Lennon และ Malcom Foley นักวิชาการเจ้าของหนังสือ “Dark Tourism : The Attraction to Death and Disaster” ใช้เรียกการเดินทางเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับความตาย โศกนาฏกรรม สงคราม และความทุกข์ทรมานหรือภัยพิบัติ การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกได้ว่าเป็นสายดาร์ก ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย ทั้งจุดท่องเที่ยวที่เป็นพื้นที่ประสบเหตุและมีเรื่องเล่ามากมายตั้งแต่อดีตที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติและที่เป็นฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง เช่น ค่ายกักกัน Auschwitz ในโปแลนด์ ที่เป็นปลายทางลำดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ โดยมีรายงานว่าเมื่อปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากถึง 1.8 ล้านคน ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chornobyl ในยูเครนเมื่อช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ก็มีผู้คนไปเยือนกว่า 120,000 คน สำหรับเมืองปอมเปอีในอิตาลี ที่ต้องประสบภัยพิบัติครั้งร้ายแรงจากเหตุภูเขาไฟระเบิด หรือคุกตวลสเลง (Tuol Sleng) สถานกักกันในกัมพูชาก็ได้รับความนิยมไม่น้อยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
หลังช่วงเวลาเลวร้ายผ่านพ้นไป พื้นที่ประสบภัยและมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สร้างรอยแผลเป็นให้ประเทศและผู้คนในพื้นที่หลายแห่งทำหน้าที่เป็นแหล่งรายได้ให้ไกด์ท้องถิ่นและเจ้าของประเทศ เช่น ที่ซีเรียหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเลือกที่จะเดินทางไปซีเรียเพื่อเยี่ยมชมสถานที่ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามที่เกิดขึ้นยุคที่อดีตประธานาธิบดี Bashar al-Assad ครองอำนาจ บางคนเดินทางไปดูเรือนจำ Saidnaya ที่อยู่นอกเมืองดามัสกัส ซึ่งที่มีผู้คนต้องล้มตายจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็น “Human Slaughterhouse” รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่มีผู้คนต้องเสียชีวิตในห้วงการสู้รบระหว่างกองทัพซีเรียกับฝ่ายต่อต้าน
ความนิยมท่องเที่ยวในสถานที่ดังกล่าวถือเป็นอีกรูปแบบของการท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อยในยุคที่การแข่งขันช่วงชิงนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างเข้มข้นไม่ว่าจะนิยมแหล่งท่องเที่ยวแบบใด จนมีการเรียกขานการแข่งขันที่เกิดขึ้นว่าเป็น Tourism War โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าจะมีจุดท่องเที่ยวสายดาร์กเพิ่มขึ้นตามจำนวนพื้นที่สู้รบและพื้นที่ประสบภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและมีแนวโน้มจะยิ่งเพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังทหารในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศและความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการคาดการณ์ว่าตลาด dark-tourism มีมูลค่าสูงถึง 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสูงถึง 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573
มีข้อสังเกตจากเว็บไซต์ Booking.com ว่า นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวจากประเทศร่ำรวยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่มีประวัติเกิดเหตุโศกนาฏกรรมไม่ว่าจะเป็นอิรัก ซีเรีย ปาเลเสไตน์ หรือพื้นที่อื่น ๆ เพื่อจะได้รู้จักสถานที่นั้น ๆ ด้วยตัวเองนอกเหนือจากที่ได้รับข่าวสารมาก่อนหน้า ความนิยมดังกล่าวแน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้รักการท่องเที่ยวที่จะมีทางเลือกในการท่องเที่ยวหลากหลาย ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ที่ต้องอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังจากความสูญเสีย แต่ที่จะเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีกสำหรับนักท่องเที่ยวและเจ้าของพื้นที่คือ ฝ่ายหนึ่งได้เรียนรู้แง่มุมทั้งดีและไม่ดีจากเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้น ขณะที่อีกฝ่ายได้ถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึก และประสบการณ์ที่ได้พบเจอทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์และช่วยกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก







