CyberXplore ปักษ์หลัง ธ.ค.2568
CyberXplore ฉบับปักษ์หลังเดือนธันวาคม 2568 รายงานสถานการณ์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากทั่วโลก สรุปเหตุการณ์สำคัญและแนวโน้มภัยคุกคามในรอบ 15 วัน
เพื่อยกระดับการรับรู้และเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน
CyberXplore ฉบับปักษ์หลังเดือนธันวาคม 2568 รายงานสถานการณ์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากทั่วโลก สรุปเหตุการณ์สำคัญและแนวโน้มภัยคุกคามในรอบ 15 วัน
เพื่อยกระดับการรับรู้และเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน
นาย Zulkifli Hasan รมว.ประสานงานด้านกิจการอาหารของอินโดนีเซีย แถลงเมื่อ 29 ธ.ค.68 ว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณข้าวสำรอง จากระดับปัจจุบัน 3 ล้านตัน เป็น 4 ล้านตัน ภายในปี 2569 เพื่อรับมือกับผลผลิตและความต้องการอาหารในประเทศที่คาดการณ์ว่าจะสูงขึ้น รักษาเสถียรภาพราคา และปกป้องรายได้ของเกษตรกร รวมถึงใช้ในโครงการให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมรับมือกับความต้องการสินค้าอาหารอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น ไข่ ปลา ไก่ กล้วย ทั้งนี้ คลังสำรองอาหารของอินโดนีเซียอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาล บริหารจัดการโดย สนง.โลจิสติกส์แห่งรัฐ (Bulog) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา รองรับภาวะฉุกเฉิน และสนับสนุนโครงการทางสังคม
สภาที่ปรึกษาพิเศษว่าด้วยเมียนมา (Special Advisory Council for Myanmar – SAC-M) เรียกร้องเมื่อ 29 ธ.ค.68 ให้ประชาคมระหว่างประเทศปฏิเสธการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมา เนื่องจากขาดความชอบธรรม เพราะจัดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์สงครามกลางเมือง และวิกฤตด้านมนุษยธรรมจากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ 28 มี.ค.68 นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มินอองไลง์ รักษาการประธานาธิบดีเมียนมา ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ด้านชาวเมียนมาในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ได้ชุมนุมประท้วงต่อต้านการเลือกตั้ง บริเวณด้านหน้า สอท.เมียนมา เมื่อ 28 ธ.ค.68 นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ได้แสดงจุดยืนร่วมกันว่าการเลือกตั้งของรัฐบาลเมียนมาเป็นเพียงการเลือกตั้งลวง เนื่องจากมีการกีดกันพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ต้อนรับ นรม.เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ที่เยือนสหรัฐฯ เมื่อ 29 ธ.ค.68 การแถลงข่าวหลังการหารือ ได้แก่ 1) สหรัฐฯ ยืนยันจะทำลายขีดความสามารถทางการทหารของอิหร่าน แต่พร้อมร่วมมือ หากอิหร่านต้องการกลับสู่การเจรจา 2) การขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพในกาซาที่จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 เร็ว ๆ นี้ โดยกลุ่มติดอาวุธต้องวางอาวุธก่อนตามข้อตกลงสันติภาพ 3) สหรัฐฯ หวังว่าอิสราเอลจะสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซีเรีย และตุรเคียที่มีส่วนสำคัญในการขับไล่อดีตประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัด และ 4) การปลดอาวุธกองกำลังฮิซบุลลอฮ์ ซึ่งรัฐบาลเลบานอนยังขาดขีดความสามารถในการขับเคลื่อนกระบวนการปลดอาวุธ
สื่อมวลชนจีนรายงานเมื่อ 30 ธันวาคม 2568 ว่า รัฐบาลจีนแสดงความห่วงกังวลกรณีรัฐบาลท้องถิ่นในปานามา สั่งทำลายอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีน-ปานามา และเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนชาวจีนในปานามา โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า แต่มีการเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ที่แสดงให้เห็นการรื้อทำลายอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2547 เพื่อฉลองใช้ชุมชนชาวจีนที่ไปอยู่อาศัยในปานามานานกว่า 150 ปี และชาวจีนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคลองปานามา โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้ อนุสาวรีย์ดังกล่าวออกแบบในลักษณะสถาปัตยกรรมจีน ตั้งอยู่ในเมือง Panama City ใกล้กับบริเวณประตูทางเข้าคลองปานามา สถานเอกอัครราชทูตจีนในปานามา ระบุว่ารัฐบาลท้องถิ่นของปานามารื้อทำลายอนุสาวรีย์ดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณทำลายบรรยากาศความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และเสี่ยงกระทบความรู้สึกระหว่างชาวจีนกับชาวปานามา นอกจากนี้ นาง Xu Xueyuan เอกอัครราชทูตจีน/ปานามา โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นของปานามาอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าว โดยอ้างว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นตัวแทนชีวิต เลือดเนื้อและความทุ่มเทของชุมชนชาวจีนที่อยู่ในปานามา นานกว่า 171 ปี รวมทั้งเป็นสัญลักษณ์ความเป็นมิตรระหว่างจีนกับปานามา ดังนั้น การรื้อทำลายอนุสาวรีย์ดังกล่าวควรมีการแจ้งล่วงหน้า รวมทั้งชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน รัฐบาลท้องถิ่นของปานามา ระบุว่าจำเป็นต้องรื้อถอนและทำลายอนุสาวรีย์ดังกล่าว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยสาธารณะ พร้อมปฏิเสธว่าไม่มีเหตุผลทางการเมือง ตลอดจนไม่ชี้แจงเหตุผลที่ต้องดำเนินการรื้อถอนในช่วงเวลากลางคืนด้วย อย่างไรก็ดี รัฐบาลปานามานำโดยประธานาธิบดี José Raúl Mulino ประณามการดำเนินการรื้อถอนอนุสาวรีย์ดังกล่าวเช่นกัน โดยยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลางของปานามาจะสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นใหม่…
สำนักข่าว BBC รายงานสถานการณ์ความมั่นคงและความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หลังจากเกิดเหตุปะทะทางทหารและการลงนามในความตกลงหยุดยิงระหว่างกันเมื่อ 27 ธันวาคม 2568 เพื่อลดอาวุธและให้ประชาชนในพื้นที่กลับภูมิลำเนา โดยล่าสุด กองทัพไทยระบุเมื่อ 30 ธันวาคม 2568 ว่า กัมพูชาละเมิดข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากฝ่ายไทยพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) จำนวน 250 เครื่องบินจากกัมพูชาเข้าฝั่งไทยในช่วงเวลากลางคืนเมื่อ 28 ธันวาคม 2568 เท่ากับกัมพูชาละเมิดความตกลงร่วมกันที่ทำขึ้นเพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ นอกจากนี้ กรณีกัมพูชาละเมิดความตกลงครั้งนี้จะทำให้ไทยจำเป็นต้องทบทวนมาตรการส่งตัวทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย กลับประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นประเด็นเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ชายแดน และทั้ง 2 ฝ่ายก็มีการปฏิบัติการด้วยโดรนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม กัมพูชาพร้อมจะร่วมมือกับไทยเพื่อหารือและสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเร็ว คาดว่าเพื่อรักษาระดับความสัมพันธ์และไม่ต้องการให้เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์กัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สื่อต่างประเทศมีมุมมองว่า ความตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงเปราะบางและเสี่ยงล้มเหลวได้ แม้ว่าสหรัฐฯ กับจีนจะสนับสนุนและพยายามผลักดันให้ทั้ง 2 ประเทศหยุดยิงระหว่างกัน รวมทั้งใช้การเจรจาทางการทูตเป็นแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและปัญหาชายแดน โดยเหตุการณ์กัมพูชาละเมิดความตกลงหยุดยิงนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับที่จีนจัดการประชุมระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยูนนาน เมื่อ 29 ธันวาคม 2568 เพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน โดยมีข้อสังเกตว่าฝ่ายจีนประชาสัมพันธ์ผลงานครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผลงานบทบาทของจีนในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น…
สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 29 ธันวาคม 2568 มอบงบประมาณเพื่อสนับสนุนภารกิจของสหประชาชาติ (UN) ด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจโลกอันดับ 1 ที่จะช่วยเหลือนานาชาติ โดยยังคงเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม งบประมาณดังกล่าวมีมูลค่าน้อยกว่าความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ เคยมอบให้ก่อนหน้านี้ สะท้อนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงลดความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศ ตามแนวนโยบาย America first ที่จะจัดสรรงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเท่านั้น ทั้งนี้ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ย้ำให้องค์กรระหว่างประเทศปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะต้องยุติภารกิจไป ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยจัดสรรงบประมาณให้องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมากถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ต่อการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ทำให้นานาชาติวิตกว่าจะซ้ำเติมวิกฤตด้านมนุษยธรรมในหลายพื้นที่ เสี่ยงทำให้เกิดวิกฤตด้านสาธารณสุข รวมทั้งทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ลดลงทั่วโลก เพราะที่ผ่านมา องค์กรระหว่างประเทศภายใต้กรอบสหประชาชาติ (UN) ที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้พลัดถิ่นที่เผชิญสงคราม รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติตามธรรมชาติ ใช้งบประมาณของสหรัฐฯ ในการดำเนินภารกิจช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย แต่การที่สหรัฐฯ ตัดลดงบประมาณจำนวนมาก ทำให้องค์กรต่าง…
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อ 29 ธันวาคม 2568 พบหารือกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ที่รีสอร์ท Mar-a-Lago รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ ตลอดจนหารือเรื่องแผนสันติภาพในตะวันออกกลางและฉนวนกาซา สะท้อนความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลในฐานะพันธมิตรด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์รับตำแหน่งเมื่อ มกราคม 2568 และผู้นำสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์กับอิสราเอลมาโดยตลอด แม้ว่าอิสราเอลจะเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติอย่างมากก็ตาม สาระสำคัญจากการหารือระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ครอบคลุมสถานการณ์ในฉนวนกาซาและภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่น่าสนใจ คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการผลักดันแผนสันติภาพระยะที่ 2 ในฉนวนกาซา เพื่อทำให้พื้นที่ในฉนวนกาซามีความมั่นคงปลอดภัย สามารถตั้งระบอบการปกครองขึ้นใหม่ ส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปควบคุมความมั่นคงในพื้นที่ และทำให้ชาวปาเลสไตน์มีโอกาสเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากกว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮะมาสจำเป็นต้องปลดอาวุธทั้งหมดก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าชาวปาเลสไตน์จะปลอดภัยและสามารถจัดตั้งรัฐบาลปกครองฉนวนกาซาได้ ท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ สะท้อนว่าปัจจุบันและอนาคต รัฐบาลสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่ออิสราเอลมากขึ้น เพราะนอกจากจะสนับสนุนการปลดอาวุธกลุ่มฮะมาสในฉนวนกาซาแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังชื่นชมนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูว่าเป็น “วีรบุรุษ” ที่ปกป้องชาวอิสราเอล ประเทศชาติ และภูมิภาคตะวันออกกลางเอาไว้ รวมทั้งไม่คัดค้านอิสราเอลกรณีพยายามขยายอิทธิพลเหนือจุดยุทธศาสตร์สำคัญในฉนวนกาซา ทั้งที่นานาชาติวิตกกังวลว่าเป็นการละเมิดสิทธิชาวปาเลสไตน์ อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ…
นาย Sergei Lavrov รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเมื่อ 30 ธันวาคม 2568 ระบุว่ากองทัพยูเครนพยายามปฏิบัติการทางทหารที่เป็นอันตรายและไม่เป็นผลดีต่อการรักษาบรรยากาศการเจรจาสันติภาพระหว่างกัน โดยยูเครนส่งอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนระยะไกล จำนวน 91 เครื่อง เข้าไปโจมตีบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีวลาร์ดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาค Novgorod ช่วงเวลากลางคืน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัสเซียไม่ไว้วางใจท่าทีของยูเครน และประกาศว่าจะทบทวนการเจรจาและจุดยืนของรัสเซียต่อการพูดคุยกับยูเครน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าผู้นำรัสเซียอยู่ในทำเนียบหรือที่พักดังกล่าวหรือไม่ แต่ย้ำว่ากองทัพรัสเซียสามารถตรวจจับโดรนทั้งหมดและยิงทำลายไปแล้ว โดยไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียใช้เหตุการณ์นี้โจมตียุทธวิธีของยูเครนว่าเป็นการก่อการร้าย และแม้ว่ารัสเซียจะยังส่งผู้แทนไปเจรจาสันติภาพกับยูเครนและสหรัฐฯ ต่อไป แต่ก็จะทบทวนเงื่อนไขและท่าทีบางประการ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของรัสเซียได้ ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัสเซียดังกล่าว โดยยืนยันว่ารัสเซียเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จเพื่อล้มเลิกการเจรจาสันติภาพ และรัสเซียจะใช้ข้อมูลนี้เป็นข้ออ้างในการยกระดับการโจมตียูเครนต่อไป โดยเฉพาะอาคารสำคัญที่เป็นที่ทำการของหน่วยงานภาครัฐของยูเครนในกรุงเคียฟ ซึ่งก่อนหน้านี้ รัสเซียเคยพยายามโจมตีมาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนกระตุ้นให้นานาชาติเพิ่มการกดดันรัสเซียให้ยุติการเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่มีหลักฐาน เพราะทำให้บรรยากาศการฟื้นฟูความสัมพันธ์หยุดชะงัก เหตุการณ์ครั้งนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำยูเครนเดินทางไปรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประเด็นความตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยเมื่อ 29 ธันวาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยว่าการพูดคุยมีความคืบหน้าและคาดว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจยุติได้ในปี 2569 ด้านผู้นำยูเครนยอมรับบทบาทของสหรัฐฯ ที่ประสานงานระหว่างทั้ง…
สมาชิกพรรค Union Solidarity and Development Party หรือ USDP ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่และทรงอิทธิพลในเมียนมา รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศเมื่อ 29 ธันวาคม 2568 แสดงความมั่นใจว่าได้รับคะแนนนำในการเลือกตั้งรอบที่ 1 เมื่อ 28 ธันวาคม 2568 โดยเปิดเผยว่าได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 82 ที่นั่ง จากทั้งหมด 102 ที่นั่ง จากผลการเลือกตั้งในเมืองสำคัญต่าง ๆ รวมทั้งกรุงเนปยีดอ เท่ากับมีแนวโน้มจะได้ครองเสียงข้างมากในสภา และจะได้เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ความเชื่อมั่นของพรรค USDP สอดคล้องกับการประเมินของนักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าพรรค USDP จะได้คะแนนจากการเลือกตั้งมากที่สุด เพราะได้เปรียบในการส่งผู้แทนลงสมัครจำนวนมาก และไม่มีคู่แข่งที่สำคัญจากพรรคฝ่ายค้านกว่า 40 พรรคการเมืองที่ถูกตัดสินยุบพรรคไปแล้ว รวมทั้งถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เมียนมาจะยังมีการเลือกตั้งรอบต่อไปในต้นปี 2569 จึงยังต้องติดตามผลลัพธ์และบรรยากาศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ยังคงมีการสู้รบและการปะทะระหว่างกองทัพกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และชนกลุ่มน้อย เริ่มปรากฏกระแสการเรียกร้องให้อาเซียนคัดค้านผลการเลือกตั้งของเมียนมา เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ “ไร้ทางเลือก” ประชาชนจำนวนมากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 และปี…